คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายที่รักสวยรักงามในยุคนี้คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ไม่รู้จัก “โบท็อกซ์”
เพราะเจ้าสารตัวนี้สามารถเนรมิตให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นและตีนกาหายไปในพริบตา และถูกแทนที่ด้วยผิวอันเต่งตึงได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ผลวิจัยชิ้นใหม่จากสหรัฐอเมริกาคงต้องทำให้คุณๆ ทั้งหลายคิดหนักมากขึ้น เพราะบรรดานักวิจัยพบว่าการฉีดโบท็อกซ์อาจทำให้ความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของคนอื่นลดลง
David Neal ศาสตราจารย์สาขาจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Southern California ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยของการศึกษาชิ้นนี้ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Social Psychology and Personality Science ว่า ผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์จะมีความสามารถลดลงในการอ่านความรู้สึกของคนอื่น ทั้งนี้เพราะคนเราอ่านอารมณ์ของคนอื่นจากการเลียนแบบการแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ในขณะที่เรากำลังเลียนแบบนั้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเราจะส่งสัญญาณไปยังสมอง ทำให้เราเข้าใจอารมณ์ของคนอื่น แต่ถ้าหน้าของเราเต่งตึงจากการฉีดโบท็อกซ์ ความสามารถที่กล้ามเนื้อจะส่งสัญญาณไปยังสมองนั้นก็จะลดลง ทำให้ความสามรถอ่านอารมณ์จากใบหน้าของคนอื่นนั้นน้อยลงตามไปด้วย
นักงานวิจัยได้ทำการทดลอง 2 ครั้ง ครั้งแรกใช้กลุ่มทดลองผู้หญิงจำนวน 31 คน เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างผู้ที่ฉีดโบท็อกซ์ที่มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการหดตัวของกล้ามเนื้อ กับผู้ที่ฉีดสาร Restylane หรือที่รู้จักกันในนามว่า ฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มเพิ่มเนื้อเยื่อให้ผิวหนังชั้นนอก ส่วนกลุ่มที่สองเป็นกลุ่มที่ใช้เจลที่ช่วยเพิ่มระดับความสามารถในการส่งสัญญาณจากกล้ามเนื้อไปยังสมอง โดยในกลุ่มนี้มีผู้ได้รับการทดลองเป็นผู้หญิง 56 คนและผู้ชาย 39 คน
ผู้วิจัยให้ผู้เข้าทดลองทั้งสองกลุ่มดูภาพสีหน้าคนแบบต่างๆ ผ่านจอคอมพิวเตอร์ จากนั้นให้พวกเขาระบุว่าภาพคนที่เห็นนั้นอยู่ในอารมณ์แบบใด
ผลงานวิจัยพบว่า ผู้ที่กล้ามเนื้อใบหน้าตึงและชาจะมีความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นลดลง ในขณะที่ผู้ที่ได้รับสารกระตุ้นให้กล้ามเนื้อใบหน้าส่งสัญญาณไปยังสมองได้ดีขึ้นนั้นสามารถรับรู้อารมณ์ของคนอื่นเพิ่มขึ้น
ผลงานดังกล่าวสนับสนุนผลงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งโดยมหาวิทยาลัยโคลัมเบียแห่งสหรัฐอเมริกาเพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างการฉีดโบท็อกซ์และสาร Restylane ในกลุ่มผู้เข้าทดลองจำนวน 68 คน ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Emotion และพบว่าการฉีดโบท็อกซ์อาจลดความสามารถในการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่นเช่นเดียวกัน
Joshua Davis นักจิตวิทยาซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าวว่า แม้เขายังไม่ได้เห็นงานวิจัยชิ้นใหม่ของมหาวิทยาลัย Southern California แต่เขาเชื่อว่างานวิจัยชิ้นใหม่จะชี้ให้เห็นว่าการแสดงสีหน้าเป็นส่วนประกอบสำคัญในการรับรู้อารมณ์ ซึ่งเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับสิ่งที่ทีมวิจัยของเขาพบ
เมื่อผลงานวิจัยชี้ผลเสียของการฉีดโบท็อกซ์เช่นนี้ ก็ต้องมีผู้ที่ออกมาปกป้องเป็นธรรมดา Elizabeth Tanziแพทย์ด้านโรคผิวหนังเป็นหนึ่งในนั้น เธอออกมากล่าวว่า ในวันหนึ่งๆ เธอฉีดโบท็อกซ์ให้คนไข้ไม่ต่ำกว่า 10 คนมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยมีคนไข้รายใดมาบ่นหรือทักท้วงเกี่ยวกับการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นกับเธอเลยสักคน เธอยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สิ่งที่คนไข้ของเธอห่วงก็คือหน้าตาของพวกเขาหลังจากฉีดโบท็อกซ์ต่างหาก เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการให้มันออกมาดูไม่เป็นธรรมชาติหรือเกินจริงมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม Neal เจ้าของงานวิจัยชิ้นปัจจุบันเห็นว่า คนไข้หรือผู้ที่กำลังจะฉีดโบท็อกซ์ควรพิจารณาผลกระทบทางอ้อมให้ดีก่อนตัดสินใจ เพราะนั่นหมายถึงการทำให้ความสามารถในการเห็นอกเห็นใจและเข้าใจอารมณ์ของผู้อื่นน้อยลง
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น