คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เตือนก่อนสาย 10 หลุมดำเรื่องกิน

เรื่องกินก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นทุกคำที่กินก็ต้องกินอย่างมีสติ ไม่อย่างนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็จะคุกคามตามมา
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มี 10 หลุมดำ เกี่ยวกับเรื่องของการกิน ฝากเตือนใจผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ให้ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินอาหาร 

เริ่มจาก "กินเช้าดีแต่...ต้องมีลิมิต" อย่าคิดเน้น แป้ง (Refined carbohydrate) มากไป เช่น ข้าวราดแกงให้เพลาข้าวลงนิด หรือคิดกินเส้นก็เป็นเกาเหลาก็ยังได้ เพราะแป้งมากจะทำให้หิวง่ายก่อนเที่ยง แถมเสี่ยงอ้วนชวนโรคมาอีกพะเรอ 

ต่อด้วยหลุมดำที่ 2 "กินแค่พออิ่ม" ด้วยเหตุว่ากระเพาะเป็นอวัยวะเฉื่อยกว่าจะส่งสัญญาณ อิ่ม ไปสมองต้องใช้ราว 15 นาที มีเทคนิกง่ายคือให้ อิ่มก่อนอิ่มแล้วจะสบายท้องดีที่สุดครับ 

หลุมถัดไป "ชอบลิ้มก่อนนอน" ขอให้ยามหลับเป็นเวลาพักไส้ ช่วงแรกอาจมีท้องกิ่วนิดๆ แต่ขอให้คิดเถิดครับว่า เพื่อให้สมองได้หลับสนิทแล้วหลั่ง ธาตุนิทรา(Melatonin) กับ ธาตุหนุ่มสาว(Growth hormone) แล้วตื่นมาจะสบายกว่าที่คิด ลองแล้วจะติดใจครับ 

หลุมดำที่ 4 เรียกว่า "อย่าย้อนกระเพาะ" ขอให้เลี่ยงอาหารมัน เพราะเป็นอาหารคิดสั้นสำหรับโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนครับ สำหรับอาหารเผ็ดยังไม่น่ากลัวเท่า เพราะของทอดและมันเป็นอาหารอร่อยสั้นแต่มันอยู่ในกระเพาะได้ยาวนานกว่าอาหารอื่น ขืนกินบ่อยต้องระวังกรดย้อนศรมาหานะเธอ 

ครึ่งทางกับหลุมดำที่ 5 "กินต้องฝึก" นึกหิวเมื่อไรให้ดูว่า หิวจริง หรือ หิวหลอก บ่อยครั้งที่เป็นแค่ อยาก คือหิวแบบสับขาหลอกแต่ออกไปหากินจริง คนไทยชอบกินฉึกฉึก เอ๊ย...จุบจิบ เลยฝากวิธีง่ายไว้ให้ถามตัวเองว่า หิวขนาด กินฝรั่งสดได้สักลูกไหม ซึ่งถ้าใช่ก็หิวจริง วิ่งหาอาหารมากระแทกท้องได้ 

สำหรับหลุมดำที่ 6 คือ "นึกแต่หวาน" ของน่าทานชวนติดอันดับหนึ่งคือ ของหวาน ครับ คนไทยเป็น โรคติดหวาน(Carbohydrate addiction) กันมาก มีวิธีสังเกตง่ายว่าเมื่อไรกินข้าวเสร็จแล้วอยากหาเหตุกินของหวานล้างปากอีกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ค่อยๆ เลิกครับ 

ขณะที่หลุมดำเรื่องกินที่ 7 "ทานเน้นมัน(ดี)" ขอให้เลือก ไขมันดี ซึ่งไม่มีพระเอกเพียงคนเดียวครับ ต้องจับใช้ให้หลากหลายน้ำมันพืช,สัตว์ ยกเว้นน้ำมันพราย และอย่าใช้น้ำมันแบบแม่ไม่ปลื้ม คือ ยกขวดเท ให้ใช้ช้อนตักใส่กะทะหรือจะใช้แปรงทาก็ได้ 

หลุมดำที่ 8 "กินติดปรุง" อย่ายุ่งกับ พวงเครื่องปรุง ทุกครั้งไป เชฟเจ้าอร่อยเขาถือและมันคือสุขภาพที่เสียไปทุกช้อนที่เติมน้ำปลา,น้ำตาล,ซีอิ๊วหวานหรือซอส เพราะยอดของความอร่อยไม่ใช่รสอุมามิอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับรสธรรมชาติแท้ๆด้วยครับ 

มาถึงหลุมดำที่ 9 "มุ่งกินกาก" หากอยากให้สุขภาพดีจน สุดไส้ แถมได้ ล้างพิษ ไปในตัวขอให้ช่วยกิน เส้นใย(ไฟเบอร์) ซึ่งได้แก่กากทั้งละลายน้ำได้และไม่ได้ เป็นต้นว่ากินผลไม้ก็ให้กินเปลือกด้วย(แต่ช่วยระวังทุเรียนและมังคุด) ให้อย่างน้อยวันหนึ่งได้ผักผลไม้สัก 5 ทัพพีครับ 

หลุมดำสุดท้าย "อยากให้หลากหลาย" อย่าปลงใจกับลูกสาวแม่ครัวเจ้าเดียว ขอให้เทียวสลับอาหารให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ขอให้เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวสามมื้อหรือเช้าข้าวราดแกง กลางวันแกงราดข้าว หรือจะเอากับข้าวบ้านมาทานสักสัปดาห์ละครั้งก็เก๋ดี 

ทราบแล้วลองนำไปปรับเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารกันเสียไหม แล้วรอดูสุขภาพของคุณสิ. 


5 วิธีกินล้างพิษให้ตัวเบา



รวมทั้งวัตถุปรุงอาหารจำนวนมาก ตกค้างอยู่ในร่างกาย และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสารพิษในระบบย่อยอาหาร ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สารพิษเกิดขึ้น เราจึงต้องดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ในการ้างพิษที่ช่วยให้เรามีสุขภาพแข็งแรง และทำได้ไม่ยากเลย

           1. ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาว

          ลองเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมกับน้ำมะนาวครึ่งซีกและพริกป่นอีกหยิบมือหนึ่ง หรือจะใส่น้ำผึ้งเล็กน้อยด้วย ก็ได้ถ้าคุณชอบ รสเปรี้ยวของมะนาวจะกระตุ้นน้ำย่อยและการปล่อยน้ำดีจากตับ ส่วนพริกป่นก็กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารและเร่งอัตราการเผาผลาญ รวมทั้งช่วยขับสารพิษจากเซลล์ไขมัน ถือเป็นการเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนของร่างกายในวันใหม่อย่างเหมาะสม

           2. จดบันทึกสิ่งที่กินในแต่ละวัน 
          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเหนื่อยล้ากับการทำงานที่ผ่านมา ไม่รู้สึกสดชื่นเหมือนเก่า โรคภัยก็คอยรุมร้าเข้าทำนอง 3 วันดี 4 วันอย่างนั้นแล้ว ก็ให้เริ่มต้นมองหาสิ่งที่สัมพันธ์กับอาการโดยแบ่งเวลาสักวันละ 2-3 นาทีมาบันทึกกิจกรรมประจำวันรวมถึงอาการกิน ว่าคุณกินอะไรไปบ้างทุก ๆ 2 สัปดาห์ และทบทวนดูว่าอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คุณเสี่ยงหรือกระตุ้นให้คุณเกิดโรคต่าง ๆ และช่วยยับยั้งการกำเริบของโรคได้ อีกทั้งยัง เป็นคู่มือที่ทำให้คุณได้รู้ด้วยว่า ร่างกายของคุณ สารอาหารตัวไหนมีประโยชน์ เพื่อจะได้หามากินและดูแลสุขภาพตัวเองได้ถูกวิธีมากยิ่งขึ้น

           3. ดื่มน้ำผลไม้ล้างพิษ 
          การดื่มน้ำผักและผลไม้สามารถล้างพิษสะสมในร่างกาย เพิ่มพลังงานเติมความสดชื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีนี้คุณต้องดื่มน้ำผักหรือน้ำผลไม้แบบแยกกากเพียงอย่างเดียว ห้ามผสมน้ำตาลหรือเกลือ แต่อนุญาตให้ผสมน้ำเปล่าได้ในกรณีที่รสชาติเข้มข้นเกินไป ในช่วงนี้ต้องงดอาหารชนิดอื่นในช่วง 1-5 วัน(แล้วแต่ว่าจะเลือกทำกี่วัน) วิธีนี้ทำได้ค่อนข้างง่าย แต่ไม่แนะนำให้ทำติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจเกิดอาการอ่อนเพลียและอ่อนแอ เนื่องจากขาดโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตได้

           4. กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง

          มีหลักฐานมากมายบ่งชี้ว่าการกินเนื้อแดง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก เบคอน และกุนเชียง หมูยอ แหนม ฯลฯ มากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะสารประกอบตัวร้ายที่ชื่อว่า เอมีน อาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอในเยื่อบุทางเดินอาหาร อันเป็นขั้นแรกของการก่อให้เกิดมะเร็ง กองทุนวิจัยด้านมะเร็งของโลกรายงานว่า การกินเนื้อสัตว์แปรรูปมากกว่าอาทิตย์ละ 5 ครั้ง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้สูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงควรกินเนื้อแตงไม่เกิน 500 กรัมต่อสัปดาห์ และกินเนื้อสัตว์แปรรูปแค่นาน ๆ ครั้งก็พอ

           5. ล้างผักผลไม้ทุกครั้งก่อนกิน

          ผักผลไม้มีประโยชน์แต่ก็อาจทำให้เกิดโทษได้ เพราะปัจจุบันมีการเก็บเกี่ยวพืชผักก่อนเวลาสลายตัวของยาฆ่าแมลง ทำให้ร่างกายสะสมสารตกค้างเหล่านี้ไว้ โดยเฉพาะคนที่กินผักหรือผลไม้ซ้ำ ๆ กัน จะได้รับสารเคมีตัวเดิมเพิ่มปริมารมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งเชื้อโรคและพยาธิชนิดต่าง ๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ การกินผักและผลไม้ให้หลากหลาย ควบคู่ไปการล้างผักผลไม้ให้สะอาด ก็ช่วยให้เราได้กินอาหารที่ปลอดภัยและลดสารพิษตกค้างในร่างกายได้
 
guru.thaibizcenter

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสม

ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะ ก็ แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะคะ วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมา ฝากกัน

1. ผิวหนังมีปัญหา
เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มาก เกินไปจะเป็นอันตรายได้

2. ผมไม่เงางาม
ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคน ที่จำกัดอาหารอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการ ออกกำลังกาย ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่ว เหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน

3. ท้องผูก
เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย

4. ผายลมบ่อย ( ตด...เหม็น)
แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็ว เกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะ ผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียง วันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่ เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ
อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมัน ประเภทโอเมก้า -3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณ เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและ ปวดบริเวณข้อต่อ

6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก
ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไป ได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายจากการศึกษาพบว่า วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน

7. หัวใจเต้นผิดปกติ
หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่ สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว กว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียม หรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้ เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็น พวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัว หนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

8. ปวดเหงือก
ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่า ปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียใน ปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วง เช้าของทุกวัน

9. กระดูกแตก
ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูก ของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็น ตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับ ฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วย แคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ ดี)

10. ขี้ลืม
อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วย ให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิด หนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่ว เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการ ขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร



ที่มา http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/10_6312.html

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

8 เซียนอาหารเพื่อหัวใจแข็งแรง



8 เซียนอาหารเพื่อหัวใจแข็งแรง




ชีวจิตจึงมีอาหารที่ดีต่อหัวใจมาแนะนำค่ะ
1. ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากมาย ที่มีประโยชน์โดยตรงในการช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดความดันโลหิต
2. ใยอาหาร การรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารมากขึ้นอย่างน้อยวันละ 25-35 กรัม เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ข้าวโอ๊ต ถั่ว และผักต่างๆ
3. น้ำผลไม้คั้นสด เริ่มวันใหม่ด้วยน้ำส้มคั้นสดสักแก้วสิคะ เพราะน้ำส้มคั้นอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่ช่วยลดระดับฮอโมซิสเตอิน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่พบว่าสัมพันธ์กับอาการหัวใจวาย หรือลองน้ำองุ่นที่มีฟลาโวนอยด์และเรสเวอราทรอล (resveratrol) สารสำคัญจากเปลือกองุ่น ที่ช่วยยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดแดงจับเป็นก้อน ซึ่งทำให้เกิดการอุดตัน
4. ผักตระกูลกะหล่ำ แต่ละมื้อกินผักให้มากขึ้น โดยเน้นผักประเภทกะหล่ำ เช่น กะหล่ำดาว บร็อคโคลี่ และกะหล่ำปลี เพราะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจ
5. ถั่วเปลือกแข็ง การศึกษาจากหลายแห่งรายงานว่าการรับประทานถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ พิสตาชิโอ วอลนัท ฮาเซลนัท สัปดาห์ละมากกว่า 150 กรัม ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ หรือโรคหัวใจวายได้ 1 ใน 3 เท่า
6. ถั่วเหลือง การรับประทานถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ น้ำนมถั่วเหลือง ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
7. กระเทียม การรับประทานกระเทียมช่วยยับยั้งการจับตัวกันของเม็ดเลือดแดงที่จะไปอุดตันหลอดเลือดแดง กินวันละ 5-10 กลีบ ต่อวัน
8. กล้วย อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความดันโลหิตได้ ฉะนั้น นอกจากกล้วยแล้ว มันเทศหรือมันฝรั่งอบ มะเขือเทศ (ซอส) โยเกิร์ต และแคนตาลูป
นอกจากรับประทานอาหารสุขภาพเหล่านี้แล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่เครียดก็ช่วยป้องกันหัวใจป่วยได้ค่ะ


** นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 290 ***


ที่มา:http://www.herbdd.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539315800&Ntype=6

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การบริโภคผักและผลไม้อย่างถูกวิธี

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี



ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก


1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง


2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี


3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว


4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ


5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ


6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล


7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%


8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย


9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด


10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้


ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!






ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2551 11:11 น. http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของหัวใจ

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของหัวใจ
1. ให้ลดปริมาณไขมันที่มีอยู่ในอาหารทั้งหมดให้เหลือเพียง 35% ของแคลอรีที่รับประทานในแต่ละวัน ซึ่งปัจจุบันคนเราได้พลังงานจากไขมันสูงถึงกว่า 40%
2. ควรจำกัดไขมันชนิดอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์ หรือไขมันจากพืช หรือปลา แต่มาทำให้อยู่ในสภาพแข็งโดยวิธีเอาน้ำออก ที่เรียกว่าไฮโดรจีเนชัน
3. ให้ใช้ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทนไขมันชนิดอิ่มตัว เพื่อลดปริมาณคอเลสเตอรอล
4. ต้องลดอาหารทุกชนิดเพื่อลดจำนวนแคลอรีลง โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว หมายความว่าต้องลดทั้งคาร์โบไฮเดรต และไขมันด้วย เพราะคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านขบวนการแล้วโดยเฉพาะพวกน้ำตาลและแอลกอฮอล์จะเปลี่ยนเป็นไขมันได้ ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการใช้เป็นพลังงาน
ข้อแนะนำวิธีการลดไขมันอิ่มตัว
1. รับประทานเนื้อและไข่แดงให้น้อยลง แต่ให้เพิ่มเนื้อสัตว์ปีกและปลาให้มากขึ้นแทน เลือกรับประทานแต่เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน พยายามตัดส่วนมันที่ติดอยู่กับเนื้อสัตว์ออกให้หมด ควรปิ้งหรือย่างมากกว่าทอด
2. ไม่ควรใช้เนยสดแต่ให้ใช้มาการีนชนิดนุ่มที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทน มาการีนชนิดนี้จะอ่อนตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในตู้เย็นหรืออุณหภูมิห้องตามปกติ หลีกเลี่ยงครีมและไขมันที่ลอยเป็นฝาอยู่บนนมเสมอ
3. ใช้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนเวลาปรุงอาหาร เช่นน้ำมันข้าวโพด นำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันดอกคำฝอย อย่าใช้มาการีนที่แข็งตัวได้หรือน้ำมันหมู น้ำมันปรุงอาหารที่ติดสลากไว้เพียงคำว่า น้ำมันพืช” อาจมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูงมากและมีไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนเพียงนิดเดียว
4. รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น
แนวทางปฏิบัติในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของหัวใจ
1. อย่าใช้เนยสดหรือมาการีนแข็งทาขนมปัง ให้ใช้มาการีนชนิดนุ่มที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทน
2. อย่าใช้น้ำมันหมู เนยสด หรือมาการีนชนิดแข็งตัวในการปรุงอาหาร และทำขนมอบ ให้ใช้น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันดอกทานตะวัน และมาการีนที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
3. รับประทานเนื้อหมูหรือเนื้อวัวให้น้อยลง โดยเฉพาะเนื้อติดมัน เบคอนและเครื่องในสัตว์ ถ้าจะรับประทานให้เอาส่วนมันออกเสียก่อน และควรปิ้งหรือย่างดีกว่าทอด รับประทานเนื้อปลาและเนื้อสัตว์ปีกให้มากกว่าเนื้อหมูและเนื้อวัว และอย่ารับประทานน้ำมันที่ออกมาจากเนื้อสัตว์ขณะทำให้สุก ไม่ว่าจะนำไปทำซอสราดบนเนื้อสัตว์ (ที่เรียกว่าน้ำเกรวี่) ก็ตาม
4. งดใช้ครีมและนมที่มีไขมันเนยเต็มอัตราไม่ว่าจะดื่มหรือปรุงอาหาร ให้ใช้นมที่เอาไขมันเนยออกแล้วที่เรียกว่าสกิมมิลค์
5. ลดไข่และเนยแข็ง รับประทานได้ไม่เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ และให้รับประทานเนยชนิดคอตเตจ (cottage cheese) หรือเนยแข็งที่ทำมาจาก สกิมมิลค์ก็ได้
6. งดเค้กและขนมอบทุกชนิดที่วางขายในท้องตลาด และเมื่อจะทำเองที่บ้านควรใช้ไขมันชนิดมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทนด้วย
7. ลดอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านกรรมวิธีแล้ว โดยเฉพาะน้ำตาลและแอลกอฮอล์ ให้รับประทานผักและผลไม้ ใช้น้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายแดงช่วยให้ความหวานแทนน้ำตาลทรายขาว
8. เมื่อออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน พยายามเลี่ยงอาหารประเภทตับบด เนยแข็ง ครีม ไข่ ซุปข้นที่มีมัน ซอสที่ราดบนอาหารและเนื้อสัตว์ติดมัน
9. เมื่อรับประทานอาหารฝรั่งควรเลือกน้ำผลไม้คั้น ผลไม้จำพวกแตง หรือซุปใส และรับประทานแต่เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันโดยเลือกเนื้อสัตว์ปีกและเนื้อปลาไว้เสมอ ไม่ควรลืมรับประทานผักสด ตบท้ายด้วยผลไม้แทนเค้กหรือของหวานอื่น ๆ

   ที่มา http://www.camarcio.co.th/underoneroof/tipshealth.php#