คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

7 สิ่งที่ไม่ควรดื่มกิน ขณะท้องว่าง

  1.  เหล้า กระเทียม เพราะ 2 สิ่งนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ 


        2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต 


         3. ชาแก่ ทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง 


        4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร 


         5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก 


        6. ผัก หากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด 
  

       7. นมและนมถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการย่อยและดูดซึมก็ต่อเมื่อในกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่ 


* ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก "เวปไซด์นิตยสารเฟิร์สดอทคอม"

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ทำไงดี หงุดหงิดใจนอนไม่หลับซะที



อาบน้ำก่อนนอน 

          การแช่ตัวในน้ำอุ่นก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดทั้งปวง แต่อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะแทนที่จะหายเครียดกลับเครียดหนักขึ้น เนื่องจากการแช่ตัวในน้ำร้อนนานเกิน จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่น ดูไม่มีชีวิตชีวา เพื่อช่วยให้หลับสบาย อย่าลืมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ลงในน้ำที่อาบ หรือจะใช้น้ำนมอาบน้ำ

 จัดห้องให้น่านอน

          ให้เป็นที่ที่คุณอยากใช้เวลาอยู่นาน ๆ จัดข้าวของที่ระเกะระกะให้เข้าที่ ทำห้องให้มีกลิ่นหอมด้วยการวางถุงกลิ่นลาเวนเดอร์ และแจกันดอกไม้สด จัดห้องนอนให้มีแสงสลัว ๆ โปร่ง และอากาศถ่ายเทได้ดี หาอะไรปิดส่วนที่เรืองแสงของนาฬิกาปลุก ซึ่งนอกจากจะให้แสงสว่างเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้เราหันความสนใจไปที่นาฬิกาตลอดทั้งคืน ตั้งเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิพอเหมาะ ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ห้องเย็นสบายกำลังดี

 สมุนไพรต่าง ๆ 

          อย่างเช่น สมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้ง่วง เช่น ลาเวนเดอร์ ดอกมะนาว คาโมไมล์เลมอน และบาล์ม ใส่ไว้ในปลอกหมอน หรือทำถุงผ้าเล็ก ๆ ใส่สมุนไพรเหล่านี้ แล้ววางไว้ข้างศีรษะเพื่อสูดดมกลิ่นหอมขณะนอน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ระเหยออกมาจากหมอน จะช่วยให้คลายเครียดและหลับสบาย มีสมุนไพรหลายตัว โดยเฉพาะสมุนไพรจีนช่วยคลายเครียด ทำให้นอนหลับได้ดี เช่น

          ถั่งเฉ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว ๆ มีสีเหลืองเป็นมันเงา ประกอบด้วยวิตามินบี 12 โปรตีน กรดไขมัน ทั้งอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว มีสรรพคุณช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับสนิท

          พุทราจีน เป็นผลไม้บำรุงสุขภาพที่ดีของคนจีน สามารถกินได้ทั้งสดและแห้ง แก้อาการนอนไม่หลับ เนื้อในเมล็ดช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้นอนหลับสบาย

          โสม จัดเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้รักษาโรคมากกว่า 2,000 ปี สารไบโอแอคทีฟ (bioactive) ในโสมช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ และรักษาโรคความจำเสื่อม ลดความเครียด

          ดอกไม้จีน เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับลิลลี่ เกสรดอกไม้จีนมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาทช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้สดชื่น และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ จึงช่วยให้หลับสบาย

 คนที่เคลื่อนไหวร่างกายขณะทำงานในระหว่างวัน

          จะมีปัญหาในการนอนน้อยกว่าคนที่นั่งปักหลักอยู่กับโต๊ะทำงาน การออกกำลังกายแค่วันละ 15 นาที จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับง่ายขึ้น ระหว่างวันควรออกไปเดินเล่นในสวน หรือเดินยืดเส้นยืดสายหลังอาหารเย็น หลังเดินออกกำลังแล้ว ให้พักประมาณครึ่งชั่วโมง จึงค่อยเข้านอน ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเต้นหัวใจ และร่างกายทำงานช้าลงก่อนถึงจะสามารถเข้านอนได้ วิ่งหรือเดินก่อนนอนเป็นประจำวันละ 40 นาที จะหลับลึกนานกว่าคนทั่วไป

 แช่น้ำอุ่น 

          ก่อนเข้านอนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายแล้วปล่อยให้เย็นลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้สึกว่าถึงเวลานอนแล้ว

 หากิจกรรมทำก่อนนอน

          การทำกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายก่อนเข้านอนทุกคืน จะช่วยให้นอนหลับสนิท เช่น ฟังเพลงเบา ๆ สบาย ๆ เขียนบันทึกประจำวัน เป็นต้น และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เปิดเพลงทำนองเบา ๆ ฟังสบาย ๆ ขณะนอน หรือจะเปิดเทปบันทึกเสียงธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น เช่น เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปิดไฟในห้องนอน นอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ปล่อยให้เสียงนั้นขับกล่อมคุณ จากนั้นหายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพ่งสมาธิไปที่แขนขาแต่ละข้าง โดยเริ่มจากที่เท้า จินตนาการว่าแขนขานั้นจมหายลงไปในเตียง ควรใช้เครื่องเล่นเทป หรือซีดีที่ปิดเองอัตโนมัติ เพราะจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาปิดเวลาเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ

 กินอาหารประเภทข้าวกล้อง 

          ขนมปังโฮลวีต มัน เผือก กล้วย และอินทผลัม เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้สมองสามารถนำทริปโตเฟนไปใช้ประโยชน์ในการ สร้างสารที่ช่วยให้นอนหลับได้ กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง จำพวกถั่วชนิดต่าง ๆ ผักใบเขียวเข้ม และผลไม้แห้ง จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น ไม่ควรเข้านอน เมื่อยังหิวหรืออิ่มเกินไป นอกจากนี้การกินอาหารมัน ๆ หรือเผ็ดร้อนมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการนอนหลับเช่นเดียวกัน ลองชงน้ำผึ้งเล็กน้อยผสมในน้ำอุ่น หรือชาสมุนไพร เพราะสมัยโบราณใช้น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อน ๆ

 งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนนอน

          เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม รวมถึงขนมหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัวการเข้านอนขณะท้องหิว หรืออิ่มแปล้จะไปรบกวนการนอน ซึ่งรวมถึงการกินอาหารก่อนนอนด้วย ไม่ควรกินอาหารเย็นหลัง 2 ทุ่ม และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะจะเป็นเหมือนยาชูกำลังที่ไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมน ที่ทำให้ร่างกายเกิดความคึกคัก กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง อาหารเย็นควรเป็นข้าว มันฝรั่ง พาสต้า ผัก ที่มีรากเป็นลำต้นใต้ดิน ถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ ทำให้ร่างกายผลิตเซโรโตนิน ที่ช่วยในการนอนหลับ

 ดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอน

          ในนมมีกรดอะมิโนที่เรียกว่าทรัยป์โตฟาน ช่วยให้นอนหลับสบาย และยังมีแคลเซียมสูง ช่วยผ่อนคลายประสาททำให้จิตใจสบาย บางคนบอกว่าการดื่มนมอุ่น ๆ ช่วยคลายเครียด และหายอ่อนเพลีย


ขอบคุณ guru.thaibizcenter

มะเร็งจาก...กล่องโฟม

ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักกล่องโฟม โดยเฉพาะสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบจะมีสักกี่บ้านที่ทำอาหารกินเองได้ทุกมื้อ หลายคนจำเป็นต้องฝากท้องโดยเฉพาะมื้อเที่ยงมื้อเย็นไว้กับอาหารตามสั่งร้อนๆ ใส่กล่องโฟมแล้วนำกลับไปกินที่ทำงานหรือที่บ้าน 

จะมีสักกี่คนที่สงสัยว่าเจ้ากล่องโฟมนี่มันถูกล้างทำความสะอาดมาแล้วหรือยัง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จะมีสักกี่คนที่จะให้ความสนใจเรื่องสารเคมีจากกล่องโฟมที่ออกมาปนเปื้อนกับอาหารมากกว่าการเอาใจจดจ่ออยู่กับว่าเมื่อไหร่จะได้อาหารที่สั่งเสียที

กล่องโฟมที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีมีชื่อภาษาอังกฤษว่าโพลีสไตรีน ทำมาจากสารตั้งต้นที่ชื่อสไตรีน เป็นสารที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองโดยการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอและโครโมโซม แต่ในคนยังไม่มีผลการศึกษาอย่างชัดเจน 

ดังนั้น องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติจึงจัดเจ้าสารสไตรีนเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 2B คือมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็งในคนและมีคุณสมบัติละลายได้ดีในน้ำมันและแอลกอฮอล์ ดังนั้น หากนำจานชามโฟมใส่อาหารที่มีไขมันสูงหรือใช้ถ้วยโฟมเป็นภาชนะสำหรับดื่มเหล้าดื่มเบียร์ ก็ยิ่งทำให้สารสไตรีนละลายออกมาเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถละลายได้ดีขึ้นที่อุณหภูมิสูง จากการที่เจ้าสารสไตรีนสามารถละลายในไขมัน เมื่อมีการสะสมของสารนี้ทีละน้อยเป็นเวลานานๆ จึงมักจะไปสะสมในเนื้อเยื่อที่มีไขมันสูง เช่น สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย วิตกกังวล นอนไม่หลับ และอาการอื่นๆ ทางระบบประสาท นอกจากนั้นยังมีอันตรายต่อระบบโลหิตคือทำให้เกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดต่ำลง

ปัจจุบันทั่วโลกมีการตื่นตัวและมีการรณรงค์งดใช้สิ่งของที่ทำจากโฟมรวมไปถึงการไม่ใช้โฟมเพื่อป้องกันของแตกหักในการขนส่ง  ในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกามีการห้ามใช้โฟมในการขนส่งสินค้า ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่าง McDonald ก็เลิกใช้กล่องโฟมในการบรรจุอาหารแล้วโดยหันไปใช้กระดาษแทน บ้านเราล่ะครับเมื่อไหร่จะเอาจริงเอาจังกันเสียที ก็ได้แต่วิงวอนบรรดาพ่อค้าแม่ค้าอาหารที่เคารพครับ หากจะใช้กล่องโฟมใส่อาหารร้อนๆ มันๆ ให้ลูกค้า ขอความกรุณาช่วยรองด้านในกล่องทั้งบนล่างด้วยพลาสติกเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาหารร้อนๆ มันๆ นั้นสัมผัสกับกล่องโฟมโดยตรง ถ้าจะให้ดีมีกลิ่นหอมแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้น เอาใบตองมารองแทนพลาสติกทั้งบนทั้งล่างยิ่งดีใหญ่ เผลอๆ อาจขายดีขึ้นแบบไม่รู้ตัว  เห็นมีหลายร้านที่ใส่ใจห่วงใยผู้บริโภคหันกลับมาห่อด้วยกระดาษรองใบตองแบบสมัยก่อน นอกจากจะกลิ่นหอมน่าทานแล้ว ยังช่วยประหยัดค่ากล่องโฟมไปได้อีกเยอะ

เอาเป็นว่ามื้อต่อไป ใส่ใจกับเรื่องภาชนะใส่อาหารมากกว่าเดิมหน่อยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไปกินอาหารในงานออกร้าน เห็นร้านไหนๆ ก็ใช้แต่กล่องโฟม จานโฟม ชามโฟมเหมือนกันหมด เพราะสะดวกดีไม่ต้องมาเสียเวลาล้างจานชามให้เมื่อยให้เปลืองค่าแรงคนงาน แต่คนบริโภคแย่ โลกก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากตัวกล่องโฟมเองจะย่อยสลายยากแล้ว กระบวนการผลิตกล่องโฟมยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อนไม่ต่างจากพลาสติกสักเท่าไหร่ หันมาใช้วัสดุจากธรรมชาติหรือใช้กล่องบรรจุอาหารที่ทำจากชานอ้อยให้มากขึ้น ถึงเวลาที่ต้องมาช่วยกันรณรงค์ลดโลกร้อนด้วยการลดการใช้กล่องโฟมกันเสียทีก็ดีนะครับ แค่นี้ธรรมชาติก็ลงโทษมนุษย์ซะอ่วมแล้ว ช่วยกันทะนุถนอมรักษาโลกใบนี้ไว้ให้ลูกหลานเถอะครับ...สาธุ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ผู้หญิง ดื่ม แอลกอฮอล์ เสี่ยงสารพัดโรค


………ในอดีตผู้หญิงกับ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูจะไม่ เหมาะกันเอาซะเลย แต่ปัจจุบันผู้หญิงเปลี่ยนไปเยอะ เริ่มหันมามีสังคมกับเพื่อนฝูงมากขึ้น พูดถึงเวลาสังสรรค์ เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น เหล้า เบียร์ ไวน์ หรือค็อกเทล มักเป็นแก้วที่คุณผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกดื่มกัน
……… แอลกอฮอล์ เป็นส่วนผสมของคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ซึ่งเกิดจากการหมักน้ำตาลกับยีสต์ เครื่องดื่มจำพวกไวน์จะได้จากการหมักผลไม้ ส่วนเบียร์หรือเหล้าได้จากการหมักธัญพืช แม้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงแรก จะทำให้รู้สึกสนุกสนานครื้นเครง แต่เมื่อดื่มมากขึ้นจะพบว่าแอลกอฮอล์ จะทำให้รู้สึกเศร้าได้เช่นกัน อีกทั้งยังกระทบถึงการทรงตัว อำนาจการตัดสินใจ รวมไปถึงการยับยั้งชั่งใจด้วย
………แล้วรู้ไหมคะว่า ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ จะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีมวลร่างกายที่เล็กกว่าและมีไขมันมากกว่า ซึ่งไขมันไม่สามารถดูดซับแอลกอฮอล์ได้ ทำให้แอลกอฮอล์ตกค้างในร่างกายเป็นระยะเวลานาน และจะส่งผลต่อสุขภาพมากมาย อาทิเช่น
 โรคตับ หากดื่มแอลกอฮอล์เพียง 40-60 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน 5-10 ปี ก็เสี่ยงต่อโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับ
 โลหิตจาง แอลกอฮอล์ส่งผลให้ร่างกาย สร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลง ในขณะที่ผู้หญิงต้องเสียเลือดจากการเป็นประจำเดือนทุกเดือน ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจางมากขึ้น
 มะเร็งเต้านม มะเร็งเต้านมนั้นมีโอกาสเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว แอลกอฮอล์ถือเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
 กระดูกพรุน แอลกอฮอล์จะลดประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมและสารอาหารในร่างกาย ขณะเดียวกันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะให้พลังงาน คุณจึงไม่รู้สึกหิวและกินน้อยลง หรือบางครั้งก็อาเจียนอาหารที่กินออกมาเวลาที่เมาจัด ทำให้อาจขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสะสมมวลกระดูกอย่างไป อีกประการหนึ่งคือ มวลกระดูกของผู้หญิงมีขนาดเล็กกว่าผู้ชายตามโครงสร้างทางสรีรวิทยา ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงกว่าด้วย
 ระบบสืบพันธ์ การที่ผู้หญิงดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จะทำให้ระยะเวลาการตกไข่และประจำเดือนผิดปกติ ทำให้มีบุตรยาก หากดื่มในขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงหกเดือนแรกจะกระทบต่อการสร้างรูปร่างหน้าตาและระบบประสาทของ เด็ก เด็กอาจพิการ หน้าแบน ปากแหว่ง และเป็นปัญญาอ่อนได้ สตรีมีครรภ์จึงควรงดแอลกอฮอล์เด็ดขาด
 ผิวพรรณ ผู้ที่ดื่มจัดจะทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี ส่งผลให้ผิวซีด เหี่ยว แห้ง หย่อนยาน เปลือกตาบวม เป็นสิว และเป็นไฝแดง อาจมีอาการของโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งมักเป็นผื่นนูนแดงมีสะเก็ดสีเงินปกคลุม
ที่มาจาก BKKMENU.com

อาหารง่ายๆ ของคนอยากผอม


ถึงจะอยากผอมแค่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องอดอยากปากแห้ง แค่คบอาหารพวกนี้เป็นเพื่อน คุณก็มีสิทธิ์ผอมเท่าคนอื่นเขาเหมือนกัน
1. เหลือที่ว่างสำหรับขนม
รักชอบขนมอะไรไม่ต้องไปอด แต่ต้องตัดข้าวออกสักครึ่งจานเพื่อเผื่อท้องไว้กินขนม อย่างกแบบว่าข้าวก็จะกิน ขนมก็จะเอา
2. อาหารที่ฉ่ำน้ำ
แตงโม มะเขือเทศ แตงกวา เห็ดส้มโอ แคนตาลูป มีติดตู้เย็นไว้อย่าได้ขาด หรือถ้าชอบก๋วยเตี๋ยวก็ต้องกินก๋วยเตี๋ยวน้ำแล้วซดน้ำแกงมากๆ ส่วนมื้อไหนทานข้าว นักไดเอทควรมีแกงจืดวางประจำเป็นผู้ช่วยทุกมื้อ น้ำจะช่วยให้คุณอิ่มเร็ว แถมอิ่มแล้วยังหนักท้อง ไม่หิวบ่อยๆ ด้วย
3. โปรตีนน้อยย่อยง่าย
สุดยอดอาหารโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ต้องยกให้ปลาทุกชนิด นอกจากนี้ก็ยังมี อกไก่ ไข่ขาว ปู กุ้ง เต้าหู้ นมไขมันต่ำ และถั่ว เห็นมั้ย ไม่ต้องอดคุณก็ยังผอมได้
4. อาหารที่กระตุ้นการทำงาน
ของแบบนี้หากินได้ไม่ยาก เพราะมันก็คือถั่วนั่นเอง จะถั่วลันเตา ถั่วลิสง ถั่วปากอ้าได้ทั้งนั้น ยกเว้นถั่วที่เรียกว่ามะม่วงหิมพานต์ เพราะอาจจะมีไขมันสูงปรี๊ดเกินต้องการไปหน่อย
5. หมากฝรั่งลดความอยาก
มีการวิจัยออกมาว่า แค่เคี้ยวหมากฝรั่งอย่างเดียวเราก็อิ่มได้ เพราะบางทีสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นความหิวอาจจะเป็นแค่อาการโหย อยากมีอะไรเคี้ยวแก้ปากว่างเท่านั้นเอง
6. เครื่องดื่มร้อนๆ
ความร้อนจะกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารให้ทำงานดีขึ้น คนที่ดื่มชาร้อนๆ ตบท้ายมื้ออาหารจึงมักจะผอมกว่าคนที่ตบท้ายด้วยน้ำเย็น
7. อาหารรสจัด
สาร แคปไซซินในพริกคือยากระตุ้นระบบเผาผลาญที่ยอดที่สุด คนที่กินพริกหรืออาหารที่ใส่เครื่องเทศรสจัด จะมีโอกาสผอมเพิ่มขึ้นอีก 20 % โดยไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังกายให้เสียเวลา แถมเวลากินของเผ็ดเราก็ต้องดื่มน้ำมากๆ เท่ากับจำกัดตัวเองให้กินน้อยลงไปโดยปริยาย
8. ข้าวโอ๊ตแบบซอง
ข้าวโอ๊ตแบบนี้มีขายตามซูเปอร์ทั่วไป ฉะนั้นห้ามบ่นเป็นอันขาดว่าหาซื้อไม่ได้ เวลาหิวๆ แทนที่จะลุกไปทักทายป้าร้ายขายข้าวแกง แค่คุณชงข้าวโอ๊ตนี่กิน คุณจะอิ่มได้ทันที เพราะข้าวโอ๊ตเป็นอาหารไฟเบอร์สูงเลยหนักท้อง ซองเดียวก็อยู่ได้หลายชั่วโมง แถมแคลอรี่ก็ต่ำ ดีอย่างนี้เอาตำแหน่งคู่ใจนักไดเอทไปเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก spicy

ล้างพิษ ด้วย ชาเขียว


ชาเขียว
………ชาเขียว เครื่องดื่มยอดฮิตที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยา บำบัดมายาวนานนับพันๆ ปี เพราะนอกจากชาเขียวจะเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพกายแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพใจอีกด้วย และคุณสมบัติที่โดดเด่นของชาเขียวอีกอย่างหนึ่งก็คือ การช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลล์ ด้วยสาร Polyphenols ในชาเขียวสามารถออกฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ (Detoxifying Enzyme) ช่วยยับยั้งขบวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และพัฒนาการทำงานองแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้
………นอกจากนี้ชาเขียวยังสามารถขจัดอนุมูลอิสระช่วยให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานดีขึ้น ผิวพรรณสดใสและสนับสนุนการทำงานของเอ็นไซม์ในตับซึ่งเป็นเหมือนโรงงานขจัด สารพิษจากอาหารแห่งเดียวของร่างกาย จึงนับว่าการบริโภคชาเขียวเป็นการล้างพิษทางกายภาพที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุดค่ะ
ผลที่ได้รับจากการล้างพิษด้วยชาเขียว
 ระบบขับถ่ายของเราจะค่อยๆ ดีขึ้นปัญหาท้องผูกและอาการร้อนในลดลง
 
โอกาสเกิดโรคมะเร็งในทางเดินอาหารลดน้อยลงกว่าผู้ที่ไม่ได้บริโภคชาเขียว
 
ผิวพรรณจะค่อยๆ สดใส ไม่หมองคล้ำ ระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น
 
ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความจำเสื่อม
 
ตับมีสุขภาพดี
 
ที่สำคัญที่สุดยังห่างไกลจากโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ ได้อีกด้วย
ที่มาจาก BKKMENU.com

สูตรหน้าใส มาร์ค/พอกหน้า

วิธีการมาสก์หน้า 
ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยคลีนเซอร์ที่เหมาะกับผิ ว ก่อนที่จะพอกหน้าให้ทั่วใบหน้า โดยเว้นรอบ 
ดวงตาและริมฝีปาก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ( ถ้าจะให้ผลดีอาจใช้ผ้าขนหนูชุบอุ่น ๆ นำมาวางบนหน้า ความร้อน 
จากผ้าขนหนูจะช่วยให้ส่วนผสมในมาสก์ซึมซับสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ) แล้วใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาด จากนั้น 
จึงล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้ผิวสดชื่น เช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ และตามด้วย 
ครีมบำรุงผิวค่ะ คราวนี้ผิวคุณก็นุ่มละมุนสดชื่น และสดใส ...ชัวร์ 

มาร์คพอกหน้าสูตรใบเตย 
นำใบเตย4-5 ใบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปปั่นรวมกับไข่ไก่ 2ช้อนโต๊ะจะได้มาร์คพอกหน้าเป็นครีมข้นๆ หอมกลิ่นใบเตย พอกหน้าไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างหน้าตามปกติ 

ถนอมผิวหน้าด้วยโยเกิร์ต 
ล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใสอมชมพูทีเดียวค่ะ 

ครีมพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันและผิวผสม 
ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุมชื่น 


ลบรอยกระด่างดำบนใบหน้าด้วยมะละกอสุก 
นำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออก จะช่วยให้ ใบหน้าที่มีรอยด่างดำดูดีขึ้น 

สูตรรักษาฝ้า 
คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุก จึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้า วันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้น 

สูตรสาวหน้าใส 
ส่วนผสม น้ำผึ้ง น้ำมะนาว ผสมน้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิว เหมือนครีมที่มีส่วนผสมAHA นั่นแหละ ส่วนน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น นวดประมาณ 15 นาที 

สูตรลดริ้วรอย 
เลือกใช้ผลไม้ที่หาง่าย จะเป็นแอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศก็ได้ค่ะ ใช้ปริมาณ 1 ถ้วย นำมาปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก นำไปปั่นให้เนื้อละเอียด นำเนื้อผลไม้ที่เตรียมไว้ มาพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง จะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม เกลี้ยงเกลา แลดูสดใส 

สูตรกระชับรูขุมขน 
กล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) ปอกเปลือก เอาเมล็ดออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมนมเปรี้ยวหรือน้ำผึ้งลงไป นำไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยทำความสะอาดใบหน้า และช่วยกระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น 

เคลนเซอร์สำหรับทุกสภาพผิว 
โยเกิร์ต 1/2 ถ้วยน้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะน้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ นะคะ)นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย 

ผิวเรียบเนียนด้วยกาแฟบด 
ก็บรรดา ครีมขจัดเซลลูไลต์ ที่ราคาแสนแพงน่ะ มีคาเฟอีนอยู่ด้วย ซึ่งช่วยกระตุ้นการขจัดเซลล์ไขมันและยังขัดผิวให้เรียบเนียน แต่อาจจะดูยุ่งยากกว่าการใช้ครีมกระปุกอยู่บ้าง จึงควรทำในห้องน้ำ และก่อนที่จะลงมือขัดผิวด้วยกาแฟอย่าลืมปูพื้นห้องน้ำด้วยกระดา ษหนังสือพิมพ์ เพื่อป้องกันท่อน้ำตันค่ะสูตรนี้ใช้กับผิวกายนะคะ ห้ามใช้กับผิวหน้าค่ะและในระหว่างที่ขัดผิว หากมีนวดไปด้วย จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้นได้ค่ะ 

พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (จากสเปน) 
ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบา ๆสักครู่แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาสักประมาณ 5 นาทีจนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ นอนพักให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น พักสักครู่แล้วค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก 

นำไข่ขาวมาตีให้ขึ้น แล้วเติมน้ำมะนาว และน้ำผึ้ง อย่างละ 
1 ช้อนชา นำมาชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้มือนวดเป็นวงกลมไปพร้อม ๆ กัน ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำเช็ดออก จะช่วยทำความสะอาดผิว และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นในขณะเดียวกัน 

นอกจากนำมาทาหรือพอกหน้า เพื่อให้ผิวสดใส เปล่งปลั่ง 
กันแล้ว ในวันหยุด ลองดื่ม ชาผสมน้ำผี้ง จะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้ผิวสดใส มีเลือดฝาด แต่ไม่ควรเทน้ำเดือดจัดๆ ลงในน้ำผึ้งนะคะ เพราะอาจทำให้สารที่มีประโยชน์ในน้ำผึ้ง สลายตัวได้ค่ะ 

พอกหน้าด้วยแอ๊ปเปิ้ล (จากเบลเยี่ยม) 
ปอกแอ๊ปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก แล้วบดให้ละเอียดขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจน 
เข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆล้างออก 

พอกหน้าด้วยแตงโม (จากตุรกี) 
ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆจากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ นอนพักสักครู่ ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 

พอกหน้าด้วยไข่ขาว (จากสวิตเซอร์แลนด์) 
ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออก เทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงนุ่มๆจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 

พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (จากฝรั่งเศส) 
ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง หรือมากกว่า แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น 

พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (จากญี่ปุ่น) 
ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรดAHA จะช่วยลอกผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกได ้หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออก 

พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (จากรัสเซีย) 
สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ให้ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาทีหรือนานกว่านั้นแล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆเช็ดออก ตำรับนี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน จะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ 

การเลือกมาสก์พอกหน้าให้เหมาะกับผิวมัน คุณสามารถใช้มาสก์ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง มาสก์ที่เหมาะ 
กับคนผิวมัน ควรมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความมัน สามารถขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนได้ พร้อมกับช่วยกระชับรูขุมขน 

ผิวแห้ง ควรมาสก์หน้าสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ มาสก์ที่เหมาะกับคนผิวแห้ง ควรมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว 

มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย 
นำกล้วยบด 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อน ยีให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่ว ใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น 
จะทำให้ผิวหน้า ชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้งค่ะ 

เคลนเซอร์น้ำผึ้ง 
ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโตีะ กับจมูกข้าวสาลี 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วใบหน้า ใช้ปลายนิ้วขัดเบา ๆ เพื่อกระตุ้น 
การไหลเวียนของเลือด และขจัดเซลล์เก่าให้หลุดลอกออกมา ซึ่งน้ำผึ้งจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น และยังช่วยลดริ้วรอย 
และจุดด่างดำ 

เคลนเซอร์จากโยเกิร์ต 
ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ กับเกลือป่น 2 ช้อนชา นำมาขัดเบา ๆ บริเวณผิวหน้า จะช่วยลดความมันและขจัดเซลล์เก่าให้ 
หลุดลอกออกมา สูตรนี้เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวมัน 

มาสค์พอกหน้าจากมะละกอ 
นำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง 

มาร์คพอกหน้าจากกล้วยผสมน้ำมันมะกอก 
กล้วยสุกยีให้ละเอียด เติมน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เพื่อให้เนื้อครีมข้น นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้ว 
ล้างออก จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นขึ้น เหมาะกับผิวแห้ง 

มาร์คพอกหน้าสูตรไข่ผสมข้าวโอ๊ต 
ไข่ขาว 1 ฟอง ผสมกับ ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที สูตรนี้เหมาะกับ 
ผิวมันค่ะ เพราะจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากใบหน้า และช่วยปรัปผิวให้สมดุลมากขึ้น 

มาร์คพอกหน้าจากแตงกวา (เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม) 
ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอก ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 
ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า 
กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุ่มชื่น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
 


ดึงเมนู 'พริก' พิชิตความอยาก

ใครที่มีปัญหาเรื่องควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกินความพอดีอาจแก้ไขได้ด้วย "พริก" โดยนักวิจัยมหาวิทยาลัยเพอร์ดู ในรัฐอินดีแอนาของสหรัฐ ศึกษาพบว่าสารแคปไซซินที่ทำให้พริกมีคุณสมบัติเผ็ดร้อนสามารถลดความหิว ควบคุมความอยากอาหาร และเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญพลังงาน
ในการศึกษานักวิจัยให้อาสาสมัครที่มีน้ำหนักตัวปรกติ 25 คน บริโภคพริกชี้ฟ้าครึ่งช้อนชา ซึ่งเป็นปริมาณที่คนส่วนใหญ่บริโภคได้ เป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดยให้รับประทานทั้งในรูปของพริกสดและพริกแห้ง ต่างจากการศึกษาอื่นๆ ที่มักใช้แคปซูล

ผลที่ได้พบว่า เมื่อบริโภคพริกสีแดงช่วยระงับความอยากอาหารและเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้นหลังมื้ออาหาร เนื่องจากสารแคปไซซินช่วยเพิ่มอุณหภูมิร่างกายและเผาผลาญพลังงานผ่านการใช้พลังงานตามธรรมชาติ แม้ในกลุ่มคนที่ไม่ได้บริโภคพริกเป็นประจำยังมีความรู้สึกหิวหรือความอยากอาหารลดลง โดยเฉพาะอาหารที่มีรสหวาน เค็ม และมัน

ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงอาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถช่วยคุมน้ำหนักตัวได้ ทั้งยังเป็นวิธีที่ได้ประโยชน์อย่างยั่งยืนหากทำได้ควบคู่ไปกับการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกาย


ที่มา: http://variety.teenee.com/foodforbrain/34897.html



วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

10 health tips


1. สำรองผลไม้ในตู้เย็นผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้มแอปเปิ้ล ซึ่งนอกจาก จะมีประโยชน์มากสำหรับสาว ๆ ที่กำลังไดเอตแล้วการรับประทานผักผลไม้เป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วยนะ

2. เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้าองค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่า การบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลด แบคทีเรียในช่องปากได้เนื่องจากสารโพลีฟีนอลจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุ ของ ฟันผุส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหาร ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3. ดื่มน้ำมากขึ้นดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ เกือบ 50 %เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้าคลายเครียดการย่ำเท้าเปล่า ไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากการเดินเท้าเปล่า จะช่วย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน ๆมีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลยมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดดเนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายแต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่าย ๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแดดอ่อน ๆในช่วงเย็นจะดีกว่า

6. หันมารับประทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะสำหรับมื้อว่างยามบ่าย แทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลตซึ่งเพียบด้วยแคลอรี่ เปลี่ยนมาทาน ขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่นรับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังวังชาแล้วยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ

7.สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่าหรืออาหารเมนูปลา รวมทั้ง เพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นมถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไวไว ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ลองใช้วิธีเดินให้ไวขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้ายหรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้ วันละ 20 นาทีจะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรงและยังทำให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกายไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพระไขมันมีอยู่หลายชนิดไขมันที่เป็นมหามิตรกับร่างกายน่ะ หากร่างกายขาดแคลนอาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ๆ ที่ไม่เพียงให้ พลังงานทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10. Just Do Nothingลองหยุดภารกิจวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมงให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพังจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจอาจจะฟังเพลง เงียบ ๆ คนเดียว หรืออาบน้ำอุ่น ๆแล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อย ๆ จิบน้ำชา ชมดอกไม้เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่นและมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกล จากโรคความรีบร้อนอันหมายถึง โรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

กิน”วิตามินซี”เสริมดีหรือไม่


ตอนเด็ก ๆ หลายคนชอบกินวิตามินซีชนิดเม็ด เพราะคุณพ่อคุณแม่หาซื้อมาประเคน นัยว่าป้องกันโรคลักปิดลักเปิด พอโตขึ้นหลายคนก็ยังกินอยู่ เพราะสะดวก หรือบางคนอาจจะไม่ชอบกินผลไม้

ดังนั้นเพื่อ ให้ผู้อ่านได้รับทราบข้อมูลในเรื่องนี้ X-RAY สุขภาพ จึงมาพูดคุยกับ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
นพ.กฤษดา กล่าวว่า วิตามินซีชนิดเม็ดที่ขายกันอยู่มีทั้งวิตามินซีธรรมชาติ และสังเคราะห์ โดย ชนิดที่เป็นสารสัง เคราะห์ ประกอบด้วย กรดแอสคอบิก ผสมกับน้ำเชื่อมข้าวโพด หรือ คอร์นไซรัป มีการเติมสี แต่งกลิ่น แต่งรส ดังนั้นการกินวิตามินซีชนิดเม็ดจะได้ความหวานด้วย โดยเฉพาะที่เป็นชนิดแบบอมเล่น รสผลไม้ ทั้งหลาย
ถามว่าวิตามินซี ชนิดเม็ดให้คุณค่าเช่นเดียวกับผลไม้ที่มีวิตามินซีหรือไม่ ขอเรียนว่า ถ้าเป็นวิตามินซีธรรมชาติจะให้คุณค่าไม่ต่างจากผลไม้อุดมวิตามินซีทั่วไป แต่ถ้าเป็นวิตามินซีสังเคราะห์มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอาจทำให้เกิด มะเร็งมากขึ้นในหนูทดลองและทำให้หลอดเลือดแข็งตีบในคนได้
โดยหลักในการเลือกซื้อวิตามินซีธรรมชาติไม่ให้ดูแค่คำว่า ธรรมชาติ หรือ Natural ข้างฉลากเท่านั้น หากแต่ต้องดูคำว่า ผลิตจากผักและผลไม้ในสภาวะที่เหมาะสม หรือ Made from fruits and vegetables below 70 degrees แทน
สำหรับความจำเป็นในการกินวิตามินซีชนิดเม็ด นพ.กฤษดา บอกว่า หากกินผักผลไม้ไม่ค่อยไหวก็อาจรับประทานได้บ้าง แต่ไม่ใช่ใช้แทน เพราะอย่างไรก็ดีวิตามินจะดูดซึมได้ดีต้องมีสารธรรมชาติบางชนิดในผลไม้นั้น ๆ ช่วยด้วย ดังนั้นสูตรสำเร็จสำหรับผู้รักที่จะกินวิตามินซีก็คือ กินอาหารเสริมบวกอาหารสดนั่นเอง
อาหารที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ฝรั่งกลมสาลี่ มะขามเทศ มะขามป้อม มะละกอแขกดำ พุทรา แอปเปิ้ล และส้มโอขาวแตงกวา ซึ่งจะสังเกตได้ว่าความเปรี้ยวไม่ใช่ตัวบอกวิตามินซี เพราะจะเห็นว่าผลไม้เปรี้ยวจัดอย่างมะยมหรือลูกเสาวรสไม่ติดอันดับต้น ๆ เลย
นอกจากนี้อาหารธรรมชาติที่นึกไม่ถึงอีกชนิดที่มีวิตามินซีมาก คือ ปลาทะเลดิบ มีกรด แอสคอบิกมากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าชาวเอสกิโมนั้นแม้ไม่ค่อยได้บริโภคพืชผักผลไม้ ก็ยังไม่เป็นโรคขาดวิตามินซี
กลุ่มคนที่ควรรับประทานวิตามินซี คือ ผู้ที่สูบบุหรี่ ผู้ที่เป็นโลหิตจางและผู้รับประทานมังสวิรัติ เพราะบุหรี่หนึ่งมวนจะผลาญวิตามินซีไปเท่ากับส้มเขียวหวานราว 1 ผลเลยทีเดียว ส่วนโลหิตจางบางชนิดกับคนกินมังสวิรัตินั้นมักขาดธาตุเหล็กจากเนื้อสัตว์จึง ต้องอาศัยวิตามินซีช่วยจับธาตุเหล็กให้มากขึ้นแทน รวมถึงผู้ที่เริ่มสูงวัยหรือผิวพรรณเริ่มเสื่อมไป วิตามินซีจะช่วยกวาดสนิมแก่ ช่วยเพิ่มคอลลาเจน ซึ่งเป็นเสมือนกระดูกของผิวให้คงรูปไม่เหี่ยวย่นเร็วเกินวัย วิตามินซียังช่วยเสริมภูมิให้กับผู้ป่วยภูมิแพ้เรื้อรัง ไอเรื้อรังหรือเป็นหวัดบ่อย นอกจากนี้ยังแก้เครียดด้วย เพราะเกี่ยวพันกับต่อมหมวกไตในการสร้างฮอร์โมนต้านเครียดและการอักเสบชื่อ ว่า คอติซอล
กินวิตามินซีมากไปมีผลเสียหรือไม่นพ.กฤษดา กล่าวว่า มีแน่นอน การกินนับสิบ ๆ เม็ดหรือบ้างก็ใช้ฉีดเข้าเส้นกันโดยหวังว่าจะรักษามะเร็งและโรคร้ายอื่นได้ มีงานวิจัยที่แสดงว่าวิตามินซีปริมาณมากอาจทำให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ ได้ เพิ่มอัตราการเกิดมะเร็งในหนูทดลอง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบแข็งในมนุษย์ ทำให้ขาดธาตุทองแดงและน้ำย่อยสำคัญในร่างกาย
ส่วนอาการเตือนในช่วง แรกที่กินมากไปทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ที่สังเกตได้ อาทิ คลื่นไส้ ถ้ากินมากถึงแก่อาเจียน แสบร้อนกระเพาะอาหาร จุกใต้ลิ้นปี่ ระคายทางเดินอาหาร ถ่ายเหลว ปัสสาวะสีเข้ม
อย่างไรก็ตามไม่ต้อง ตระหนกอกสั่นกับ วิตามินซีเป็นพิษ มาก เพราะว่ามันละลายน้ำได้ ถ้าได้เยอะเกินไปร่างกายจะขับออกทางปัสสาวะโดยอัตโนมัติ ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร จะแย่หน่อยก็ตรงเสียดายว่ามันจะกลายเป็นฉี่แพงไปหน่อยเท่านั้นเอง