คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เตือนก่อนสาย 10 หลุมดำเรื่องกิน

เรื่องกินก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นทุกคำที่กินก็ต้องกินอย่างมีสติ ไม่อย่างนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็จะคุกคามตามมา
นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มี 10 หลุมดำ เกี่ยวกับเรื่องของการกิน ฝากเตือนใจผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ให้ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินอาหาร 

เริ่มจาก "กินเช้าดีแต่...ต้องมีลิมิต" อย่าคิดเน้น แป้ง (Refined carbohydrate) มากไป เช่น ข้าวราดแกงให้เพลาข้าวลงนิด หรือคิดกินเส้นก็เป็นเกาเหลาก็ยังได้ เพราะแป้งมากจะทำให้หิวง่ายก่อนเที่ยง แถมเสี่ยงอ้วนชวนโรคมาอีกพะเรอ 

ต่อด้วยหลุมดำที่ 2 "กินแค่พออิ่ม" ด้วยเหตุว่ากระเพาะเป็นอวัยวะเฉื่อยกว่าจะส่งสัญญาณ อิ่ม ไปสมองต้องใช้ราว 15 นาที มีเทคนิกง่ายคือให้ อิ่มก่อนอิ่มแล้วจะสบายท้องดีที่สุดครับ 

หลุมถัดไป "ชอบลิ้มก่อนนอน" ขอให้ยามหลับเป็นเวลาพักไส้ ช่วงแรกอาจมีท้องกิ่วนิดๆ แต่ขอให้คิดเถิดครับว่า เพื่อให้สมองได้หลับสนิทแล้วหลั่ง ธาตุนิทรา(Melatonin) กับ ธาตุหนุ่มสาว(Growth hormone) แล้วตื่นมาจะสบายกว่าที่คิด ลองแล้วจะติดใจครับ 

หลุมดำที่ 4 เรียกว่า "อย่าย้อนกระเพาะ" ขอให้เลี่ยงอาหารมัน เพราะเป็นอาหารคิดสั้นสำหรับโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนครับ สำหรับอาหารเผ็ดยังไม่น่ากลัวเท่า เพราะของทอดและมันเป็นอาหารอร่อยสั้นแต่มันอยู่ในกระเพาะได้ยาวนานกว่าอาหารอื่น ขืนกินบ่อยต้องระวังกรดย้อนศรมาหานะเธอ 

ครึ่งทางกับหลุมดำที่ 5 "กินต้องฝึก" นึกหิวเมื่อไรให้ดูว่า หิวจริง หรือ หิวหลอก บ่อยครั้งที่เป็นแค่ อยาก คือหิวแบบสับขาหลอกแต่ออกไปหากินจริง คนไทยชอบกินฉึกฉึก เอ๊ย...จุบจิบ เลยฝากวิธีง่ายไว้ให้ถามตัวเองว่า หิวขนาด กินฝรั่งสดได้สักลูกไหม ซึ่งถ้าใช่ก็หิวจริง วิ่งหาอาหารมากระแทกท้องได้ 

สำหรับหลุมดำที่ 6 คือ "นึกแต่หวาน" ของน่าทานชวนติดอันดับหนึ่งคือ ของหวาน ครับ คนไทยเป็น โรคติดหวาน(Carbohydrate addiction) กันมาก มีวิธีสังเกตง่ายว่าเมื่อไรกินข้าวเสร็จแล้วอยากหาเหตุกินของหวานล้างปากอีกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ค่อยๆ เลิกครับ 

ขณะที่หลุมดำเรื่องกินที่ 7 "ทานเน้นมัน(ดี)" ขอให้เลือก ไขมันดี ซึ่งไม่มีพระเอกเพียงคนเดียวครับ ต้องจับใช้ให้หลากหลายน้ำมันพืช,สัตว์ ยกเว้นน้ำมันพราย และอย่าใช้น้ำมันแบบแม่ไม่ปลื้ม คือ ยกขวดเท ให้ใช้ช้อนตักใส่กะทะหรือจะใช้แปรงทาก็ได้ 

หลุมดำที่ 8 "กินติดปรุง" อย่ายุ่งกับ พวงเครื่องปรุง ทุกครั้งไป เชฟเจ้าอร่อยเขาถือและมันคือสุขภาพที่เสียไปทุกช้อนที่เติมน้ำปลา,น้ำตาล,ซีอิ๊วหวานหรือซอส เพราะยอดของความอร่อยไม่ใช่รสอุมามิอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับรสธรรมชาติแท้ๆด้วยครับ 

มาถึงหลุมดำที่ 9 "มุ่งกินกาก" หากอยากให้สุขภาพดีจน สุดไส้ แถมได้ ล้างพิษ ไปในตัวขอให้ช่วยกิน เส้นใย(ไฟเบอร์) ซึ่งได้แก่กากทั้งละลายน้ำได้และไม่ได้ เป็นต้นว่ากินผลไม้ก็ให้กินเปลือกด้วย(แต่ช่วยระวังทุเรียนและมังคุด) ให้อย่างน้อยวันหนึ่งได้ผักผลไม้สัก 5 ทัพพีครับ 

หลุมดำสุดท้าย "อยากให้หลากหลาย" อย่าปลงใจกับลูกสาวแม่ครัวเจ้าเดียว ขอให้เทียวสลับอาหารให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ขอให้เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวสามมื้อหรือเช้าข้าวราดแกง กลางวันแกงราดข้าว หรือจะเอากับข้าวบ้านมาทานสักสัปดาห์ละครั้งก็เก๋ดี 

ทราบแล้วลองนำไปปรับเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารกันเสียไหม แล้วรอดูสุขภาพของคุณสิ. 


5 วิธีกินล้างพิษให้ตัวเบา



รวมทั้งวัตถุปรุงอาหารจำนวนมาก ตกค้างอยู่ในร่างกาย และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสารพิษในระบบย่อยอาหาร ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้สารพิษเกิดขึ้น เราจึงต้องดูแลตัวเองด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ในการ้างพิษที่ช่วยให้เรามีสุขภาพแข็งแรง และทำได้ไม่ยากเลย

           1. ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาว

          ลองเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำอุ่นหนึ่งแก้วผสมกับน้ำมะนาวครึ่งซีกและพริกป่นอีกหยิบมือหนึ่ง หรือจะใส่น้ำผึ้งเล็กน้อยด้วย ก็ได้ถ้าคุณชอบ รสเปรี้ยวของมะนาวจะกระตุ้นน้ำย่อยและการปล่อยน้ำดีจากตับ ส่วนพริกป่นก็กระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารและเร่งอัตราการเผาผลาญ รวมทั้งช่วยขับสารพิษจากเซลล์ไขมัน ถือเป็นการเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนของร่างกายในวันใหม่อย่างเหมาะสม

           2. จดบันทึกสิ่งที่กินในแต่ละวัน 
          หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าเหนื่อยล้ากับการทำงานที่ผ่านมา ไม่รู้สึกสดชื่นเหมือนเก่า โรคภัยก็คอยรุมร้าเข้าทำนอง 3 วันดี 4 วันอย่างนั้นแล้ว ก็ให้เริ่มต้นมองหาสิ่งที่สัมพันธ์กับอาการโดยแบ่งเวลาสักวันละ 2-3 นาทีมาบันทึกกิจกรรมประจำวันรวมถึงอาการกิน ว่าคุณกินอะไรไปบ้างทุก ๆ 2 สัปดาห์ และทบทวนดูว่าอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้คุณเสี่ยงหรือกระตุ้นให้คุณเกิดโรคต่าง ๆ และช่วยยับยั้งการกำเริบของโรคได้ อีกทั้งยัง เป็นคู่มือที่ทำให้คุณได้รู้ด้วยว่า ร่างกายของคุณ สารอาหารตัวไหนมีประโยชน์ เพื่อจะได้หามากินและดูแลสุขภาพตัวเองได้ถูกวิธีมากยิ่งขึ้น

           3. ดื่มน้ำผลไม้ล้างพิษ 
          การดื่มน้ำผักและผลไม้สามารถล้างพิษสะสมในร่างกาย เพิ่มพลังงานเติมความสดชื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยวิธีนี้คุณต้องดื่มน้ำผักหรือน้ำผลไม้แบบแยกกากเพียงอย่างเดียว ห้ามผสมน้ำตาลหรือเกลือ แต่อนุญาตให้ผสมน้ำเปล่าได้ในกรณีที่รสชาติเข้มข้นเกินไป ในช่วงนี้ต้องงดอาหารชนิดอื่นในช่วง 1-5 วัน(แล้วแต่ว่าจะเลือกทำกี่วัน) วิธีนี้ทำได้ค่อนข้างง่าย แต่ไม่แนะนำให้ทำติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจเกิดอาการอ่อนเพลียและอ่อนแอ เนื่องจากขาดโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตได้

           4. กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง

          มีหลักฐานมากมายบ่งชี้ว่าการกินเนื้อแดง และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ เช่น ไส้กรอก เบคอน และกุนเชียง หมูยอ แหนม ฯลฯ มากเกินไป อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะสารประกอบตัวร้ายที่ชื่อว่า เอมีน อาจเข้าไปเปลี่ยนแปลงดีเอ็นเอในเยื่อบุทางเดินอาหาร อันเป็นขั้นแรกของการก่อให้เกิดมะเร็ง กองทุนวิจัยด้านมะเร็งของโลกรายงานว่า การกินเนื้อสัตว์แปรรูปมากกว่าอาทิตย์ละ 5 ครั้ง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้สูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงควรกินเนื้อแตงไม่เกิน 500 กรัมต่อสัปดาห์ และกินเนื้อสัตว์แปรรูปแค่นาน ๆ ครั้งก็พอ

           5. ล้างผักผลไม้ทุกครั้งก่อนกิน

          ผักผลไม้มีประโยชน์แต่ก็อาจทำให้เกิดโทษได้ เพราะปัจจุบันมีการเก็บเกี่ยวพืชผักก่อนเวลาสลายตัวของยาฆ่าแมลง ทำให้ร่างกายสะสมสารตกค้างเหล่านี้ไว้ โดยเฉพาะคนที่กินผักหรือผลไม้ซ้ำ ๆ กัน จะได้รับสารเคมีตัวเดิมเพิ่มปริมารมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมทั้งเชื้อโรคและพยาธิชนิดต่าง ๆ วิธีที่ดีที่สุดคือ การกินผักและผลไม้ให้หลากหลาย ควบคู่ไปการล้างผักผลไม้ให้สะอาด ก็ช่วยให้เราได้กินอาหารที่ปลอดภัยและลดสารพิษตกค้างในร่างกายได้
 
guru.thaibizcenter

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสม

ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะ ก็ แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะคะ วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมา ฝากกัน

1. ผิวหนังมีปัญหา
เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มาก เกินไปจะเป็นอันตรายได้

2. ผมไม่เงางาม
ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคน ที่จำกัดอาหารอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการ ออกกำลังกาย ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่ว เหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน

3. ท้องผูก
เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย

4. ผายลมบ่อย ( ตด...เหม็น)
แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็ว เกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะ ผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียง วันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่ เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ
อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมัน ประเภทโอเมก้า -3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณ เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและ ปวดบริเวณข้อต่อ

6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก
ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไป ได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายจากการศึกษาพบว่า วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน

7. หัวใจเต้นผิดปกติ
หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่ สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว กว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียม หรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้ เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็น พวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัว หนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

8. ปวดเหงือก
ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่า ปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียใน ปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วง เช้าของทุกวัน

9. กระดูกแตก
ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูก ของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็น ตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับ ฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วย แคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ ดี)

10. ขี้ลืม
อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วย ให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิด หนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่ว เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการ ขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร



ที่มา http://heyhaparty.blogspot.com/2007/11/10_6312.html

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

8 เซียนอาหารเพื่อหัวใจแข็งแรง



8 เซียนอาหารเพื่อหัวใจแข็งแรง




ชีวจิตจึงมีอาหารที่ดีต่อหัวใจมาแนะนำค่ะ
1. ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากมาย ที่มีประโยชน์โดยตรงในการช่วยลดคอเลสเตอรอล และลดความดันโลหิต
2. ใยอาหาร การรับประทานอาหารที่มีกากใยอาหารมากขึ้นอย่างน้อยวันละ 25-35 กรัม เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีต ข้าวโอ๊ต ถั่ว และผักต่างๆ
3. น้ำผลไม้คั้นสด เริ่มวันใหม่ด้วยน้ำส้มคั้นสดสักแก้วสิคะ เพราะน้ำส้มคั้นอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่ช่วยลดระดับฮอโมซิสเตอิน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่พบว่าสัมพันธ์กับอาการหัวใจวาย หรือลองน้ำองุ่นที่มีฟลาโวนอยด์และเรสเวอราทรอล (resveratrol) สารสำคัญจากเปลือกองุ่น ที่ช่วยยับยั้งเซลล์เม็ดเลือดแดงจับเป็นก้อน ซึ่งทำให้เกิดการอุดตัน
4. ผักตระกูลกะหล่ำ แต่ละมื้อกินผักให้มากขึ้น โดยเน้นผักประเภทกะหล่ำ เช่น กะหล่ำดาว บร็อคโคลี่ และกะหล่ำปลี เพราะมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ดีต่อหัวใจ
5. ถั่วเปลือกแข็ง การศึกษาจากหลายแห่งรายงานว่าการรับประทานถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ พิสตาชิโอ วอลนัท ฮาเซลนัท สัปดาห์ละมากกว่า 150 กรัม ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ หรือโรคหัวใจวายได้ 1 ใน 3 เท่า
6. ถั่วเหลือง การรับประทานถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ น้ำนมถั่วเหลือง ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้
7. กระเทียม การรับประทานกระเทียมช่วยยับยั้งการจับตัวกันของเม็ดเลือดแดงที่จะไปอุดตันหลอดเลือดแดง กินวันละ 5-10 กลีบ ต่อวัน
8. กล้วย อาหารที่มีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความดันโลหิตได้ ฉะนั้น นอกจากกล้วยแล้ว มันเทศหรือมันฝรั่งอบ มะเขือเทศ (ซอส) โยเกิร์ต และแคนตาลูป
นอกจากรับประทานอาหารสุขภาพเหล่านี้แล้ว การออกกำลังกายสม่ำเสมอ และไม่เครียดก็ช่วยป้องกันหัวใจป่วยได้ค่ะ


** นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 290 ***


ที่มา:http://www.herbdd.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539315800&Ntype=6

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การบริโภคผักและผลไม้อย่างถูกวิธี

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี



ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก


1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง


2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี


3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว


4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ


5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ


6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล


7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%


8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย


9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด


10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้


ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!






ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2551 11:11 น. http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของหัวใจ

การเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของหัวใจ
1. ให้ลดปริมาณไขมันที่มีอยู่ในอาหารทั้งหมดให้เหลือเพียง 35% ของแคลอรีที่รับประทานในแต่ละวัน ซึ่งปัจจุบันคนเราได้พลังงานจากไขมันสูงถึงกว่า 40%
2. ควรจำกัดไขมันชนิดอิ่มตัวที่ได้จากสัตว์ หรือไขมันจากพืช หรือปลา แต่มาทำให้อยู่ในสภาพแข็งโดยวิธีเอาน้ำออก ที่เรียกว่าไฮโดรจีเนชัน
3. ให้ใช้ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทนไขมันชนิดอิ่มตัว เพื่อลดปริมาณคอเลสเตอรอล
4. ต้องลดอาหารทุกชนิดเพื่อลดจำนวนแคลอรีลง โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักเกินอยู่แล้ว หมายความว่าต้องลดทั้งคาร์โบไฮเดรต และไขมันด้วย เพราะคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านขบวนการแล้วโดยเฉพาะพวกน้ำตาลและแอลกอฮอล์จะเปลี่ยนเป็นไขมันได้ ถ้าร่างกายยังไม่ต้องการใช้เป็นพลังงาน
ข้อแนะนำวิธีการลดไขมันอิ่มตัว
1. รับประทานเนื้อและไข่แดงให้น้อยลง แต่ให้เพิ่มเนื้อสัตว์ปีกและปลาให้มากขึ้นแทน เลือกรับประทานแต่เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน พยายามตัดส่วนมันที่ติดอยู่กับเนื้อสัตว์ออกให้หมด ควรปิ้งหรือย่างมากกว่าทอด
2. ไม่ควรใช้เนยสดแต่ให้ใช้มาการีนชนิดนุ่มที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทน มาการีนชนิดนี้จะอ่อนตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะอยู่ในตู้เย็นหรืออุณหภูมิห้องตามปกติ หลีกเลี่ยงครีมและไขมันที่ลอยเป็นฝาอยู่บนนมเสมอ
3. ใช้น้ำมันที่มีไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนเวลาปรุงอาหาร เช่นน้ำมันข้าวโพด นำมันดอกทานตะวัน หรือน้ำมันดอกคำฝอย อย่าใช้มาการีนที่แข็งตัวได้หรือน้ำมันหมู น้ำมันปรุงอาหารที่ติดสลากไว้เพียงคำว่า น้ำมันพืช” อาจมีปริมาณไขมันอิ่มตัวสูงมากและมีไขมันอิ่มตัวเชิงซ้อนเพียงนิดเดียว
4. รับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น
แนวทางปฏิบัติในการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของหัวใจ
1. อย่าใช้เนยสดหรือมาการีนแข็งทาขนมปัง ให้ใช้มาการีนชนิดนุ่มที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทน
2. อย่าใช้น้ำมันหมู เนยสด หรือมาการีนชนิดแข็งตัวในการปรุงอาหาร และทำขนมอบ ให้ใช้น้ำมันข้าวโพด หรือน้ำมันดอกทานตะวัน และมาการีนที่มีไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน
3. รับประทานเนื้อหมูหรือเนื้อวัวให้น้อยลง โดยเฉพาะเนื้อติดมัน เบคอนและเครื่องในสัตว์ ถ้าจะรับประทานให้เอาส่วนมันออกเสียก่อน และควรปิ้งหรือย่างดีกว่าทอด รับประทานเนื้อปลาและเนื้อสัตว์ปีกให้มากกว่าเนื้อหมูและเนื้อวัว และอย่ารับประทานน้ำมันที่ออกมาจากเนื้อสัตว์ขณะทำให้สุก ไม่ว่าจะนำไปทำซอสราดบนเนื้อสัตว์ (ที่เรียกว่าน้ำเกรวี่) ก็ตาม
4. งดใช้ครีมและนมที่มีไขมันเนยเต็มอัตราไม่ว่าจะดื่มหรือปรุงอาหาร ให้ใช้นมที่เอาไขมันเนยออกแล้วที่เรียกว่าสกิมมิลค์
5. ลดไข่และเนยแข็ง รับประทานได้ไม่เกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ และให้รับประทานเนยชนิดคอตเตจ (cottage cheese) หรือเนยแข็งที่ทำมาจาก สกิมมิลค์ก็ได้
6. งดเค้กและขนมอบทุกชนิดที่วางขายในท้องตลาด และเมื่อจะทำเองที่บ้านควรใช้ไขมันชนิดมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนแทนด้วย
7. ลดอาหารคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านกรรมวิธีแล้ว โดยเฉพาะน้ำตาลและแอลกอฮอล์ ให้รับประทานผักและผลไม้ ใช้น้ำผึ้งหรือน้ำตาลทรายแดงช่วยให้ความหวานแทนน้ำตาลทรายขาว
8. เมื่อออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน พยายามเลี่ยงอาหารประเภทตับบด เนยแข็ง ครีม ไข่ ซุปข้นที่มีมัน ซอสที่ราดบนอาหารและเนื้อสัตว์ติดมัน
9. เมื่อรับประทานอาหารฝรั่งควรเลือกน้ำผลไม้คั้น ผลไม้จำพวกแตง หรือซุปใส และรับประทานแต่เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันโดยเลือกเนื้อสัตว์ปีกและเนื้อปลาไว้เสมอ ไม่ควรลืมรับประทานผักสด ตบท้ายด้วยผลไม้แทนเค้กหรือของหวานอื่น ๆ

   ที่มา http://www.camarcio.co.th/underoneroof/tipshealth.php#

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

7 สิ่งที่ไม่ควรดื่มกิน ขณะท้องว่าง

  1.  เหล้า กระเทียม เพราะ 2 สิ่งนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้ 


        2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต 


         3. ชาแก่ ทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง 


        4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร 


         5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก 


        6. ผัก หากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด 
  

       7. นมและนมถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการย่อยและดูดซึมก็ต่อเมื่อในกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่ 


* ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก "เวปไซด์นิตยสารเฟิร์สดอทคอม"

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ทำไงดี หงุดหงิดใจนอนไม่หลับซะที



อาบน้ำก่อนนอน 

          การแช่ตัวในน้ำอุ่นก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจผ่อนคลายจากความเครียดทั้งปวง แต่อย่าแช่น้ำนานเกินไป เพราะแทนที่จะหายเครียดกลับเครียดหนักขึ้น เนื่องจากการแช่ตัวในน้ำร้อนนานเกิน จะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื่น ดูไม่มีชีวิตชีวา เพื่อช่วยให้หลับสบาย อย่าลืมหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 2-3 หยด ลงในน้ำที่อาบ หรือจะใช้น้ำนมอาบน้ำ

 จัดห้องให้น่านอน

          ให้เป็นที่ที่คุณอยากใช้เวลาอยู่นาน ๆ จัดข้าวของที่ระเกะระกะให้เข้าที่ ทำห้องให้มีกลิ่นหอมด้วยการวางถุงกลิ่นลาเวนเดอร์ และแจกันดอกไม้สด จัดห้องนอนให้มีแสงสลัว ๆ โปร่ง และอากาศถ่ายเทได้ดี หาอะไรปิดส่วนที่เรืองแสงของนาฬิกาปลุก ซึ่งนอกจากจะให้แสงสว่างเป็นพิเศษแล้ว ยังทำให้เราหันความสนใจไปที่นาฬิกาตลอดทั้งคืน ตั้งเครื่องปรับอากาศที่อุณหภูมิพอเหมาะ ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งทำให้ห้องเย็นสบายกำลังดี

 สมุนไพรต่าง ๆ 

          อย่างเช่น สมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยให้ผ่อนคลายและทำให้ง่วง เช่น ลาเวนเดอร์ ดอกมะนาว คาโมไมล์เลมอน และบาล์ม ใส่ไว้ในปลอกหมอน หรือทำถุงผ้าเล็ก ๆ ใส่สมุนไพรเหล่านี้ แล้ววางไว้ข้างศีรษะเพื่อสูดดมกลิ่นหอมขณะนอน กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่ระเหยออกมาจากหมอน จะช่วยให้คลายเครียดและหลับสบาย มีสมุนไพรหลายตัว โดยเฉพาะสมุนไพรจีนช่วยคลายเครียด ทำให้นอนหลับได้ดี เช่น

          ถั่งเฉ้า มีลักษณะเป็นแท่งยาว ๆ มีสีเหลืองเป็นมันเงา ประกอบด้วยวิตามินบี 12 โปรตีน กรดไขมัน ทั้งอิ่มตัว และไม่อิ่มตัว มีสรรพคุณช่วยระงับประสาท ทำให้นอนหลับสนิท

          พุทราจีน เป็นผลไม้บำรุงสุขภาพที่ดีของคนจีน สามารถกินได้ทั้งสดและแห้ง แก้อาการนอนไม่หลับ เนื้อในเมล็ดช่วยผ่อนคลายประสาท ทำให้นอนหลับสบาย

          โสม จัดเป็นสมุนไพรจีนที่ใช้รักษาโรคมากกว่า 2,000 ปี สารไบโอแอคทีฟ (bioactive) ในโสมช่วยแก้โรคนอนไม่หลับ และรักษาโรคความจำเสื่อม ลดความเครียด

          ดอกไม้จีน เป็นพืชล้มลุกตระกูลเดียวกับลิลลี่ เกสรดอกไม้จีนมีสรรพคุณช่วยบำรุงประสาทช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้สดชื่น และมีฤทธิ์เป็นยานอนหลับอ่อน ๆ จึงช่วยให้หลับสบาย

 คนที่เคลื่อนไหวร่างกายขณะทำงานในระหว่างวัน

          จะมีปัญหาในการนอนน้อยกว่าคนที่นั่งปักหลักอยู่กับโต๊ะทำงาน การออกกำลังกายแค่วันละ 15 นาที จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจน ทำให้ผ่อนคลาย และนอนหลับง่ายขึ้น ระหว่างวันควรออกไปเดินเล่นในสวน หรือเดินยืดเส้นยืดสายหลังอาหารเย็น หลังเดินออกกำลังแล้ว ให้พักประมาณครึ่งชั่วโมง จึงค่อยเข้านอน ทั้งนี้เพื่อให้อัตราการเต้นหัวใจ และร่างกายทำงานช้าลงก่อนถึงจะสามารถเข้านอนได้ วิ่งหรือเดินก่อนนอนเป็นประจำวันละ 40 นาที จะหลับลึกนานกว่าคนทั่วไป

 แช่น้ำอุ่น 

          ก่อนเข้านอนประมาณ 1 ชั่วโมง เพื่อเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายแล้วปล่อยให้เย็นลง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณให้ร่างกายรู้สึกว่าถึงเวลานอนแล้ว

 หากิจกรรมทำก่อนนอน

          การทำกิจกรรมเพื่อความผ่อนคลายก่อนเข้านอนทุกคืน จะช่วยให้นอนหลับสนิท เช่น ฟังเพลงเบา ๆ สบาย ๆ เขียนบันทึกประจำวัน เป็นต้น และทำจิตใจให้ผ่อนคลาย เปิดเพลงทำนองเบา ๆ ฟังสบาย ๆ ขณะนอน หรือจะเปิดเทปบันทึกเสียงธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น เช่น เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง ปิดไฟในห้องนอน นอนซุกตัวใต้ผ้าห่ม ปล่อยให้เสียงนั้นขับกล่อมคุณ จากนั้นหายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพ่งสมาธิไปที่แขนขาแต่ละข้าง โดยเริ่มจากที่เท้า จินตนาการว่าแขนขานั้นจมหายลงไปในเตียง ควรใช้เครื่องเล่นเทป หรือซีดีที่ปิดเองอัตโนมัติ เพราะจะได้ไม่ต้องลุกขึ้นมาปิดเวลาเคลิ้ม ๆ ใกล้จะหลับ

 กินอาหารประเภทข้าวกล้อง 

          ขนมปังโฮลวีต มัน เผือก กล้วย และอินทผลัม เพราะสารอาหารเหล่านี้จะช่วยให้สมองสามารถนำทริปโตเฟนไปใช้ประโยชน์ในการ สร้างสารที่ช่วยให้นอนหลับได้ กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง จำพวกถั่วชนิดต่าง ๆ ผักใบเขียวเข้ม และผลไม้แห้ง จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น ไม่ควรเข้านอน เมื่อยังหิวหรืออิ่มเกินไป นอกจากนี้การกินอาหารมัน ๆ หรือเผ็ดร้อนมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการนอนหลับเช่นเดียวกัน ลองชงน้ำผึ้งเล็กน้อยผสมในน้ำอุ่น หรือชาสมุนไพร เพราะสมัยโบราณใช้น้ำผึ้งเป็นยาระงับประสาทอ่อน ๆ

 งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนก่อนนอน

          เช่น ชา กาแฟ และน้ำอัดลม รวมถึงขนมหวานทุกชนิด เพราะน้ำตาลจะกระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัวการเข้านอนขณะท้องหิว หรืออิ่มแปล้จะไปรบกวนการนอน ซึ่งรวมถึงการกินอาหารก่อนนอนด้วย ไม่ควรกินอาหารเย็นหลัง 2 ทุ่ม และถ้าเป็นไปได้ควรหลีกเลี่ยงโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เพราะจะเป็นเหมือนยาชูกำลังที่ไปกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมน ที่ทำให้ร่างกายเกิดความคึกคัก กินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง อาหารเย็นควรเป็นข้าว มันฝรั่ง พาสต้า ผัก ที่มีรากเป็นลำต้นใต้ดิน ถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้ ทำให้ร่างกายผลิตเซโรโตนิน ที่ช่วยในการนอนหลับ

 ดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอน

          ในนมมีกรดอะมิโนที่เรียกว่าทรัยป์โตฟาน ช่วยให้นอนหลับสบาย และยังมีแคลเซียมสูง ช่วยผ่อนคลายประสาททำให้จิตใจสบาย บางคนบอกว่าการดื่มนมอุ่น ๆ ช่วยคลายเครียด และหายอ่อนเพลีย


ขอบคุณ guru.thaibizcenter

มะเร็งจาก...กล่องโฟม

ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักกล่องโฟม โดยเฉพาะสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบจะมีสักกี่บ้านที่ทำอาหารกินเองได้ทุกมื้อ หลายคนจำเป็นต้องฝากท้องโดยเฉพาะมื้อเที่ยงมื้อเย็นไว้กับอาหารตามสั่งร้อนๆ ใส่กล่องโฟมแล้วนำกลับไปกินที่ทำงานหรือที่บ้าน 

จะมีสักกี่คนที่สงสัยว่าเจ้ากล่องโฟมนี่มันถูกล้างทำความสะอาดมาแล้วหรือยัง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จะมีสักกี่คนที่จะให้ความสนใจเรื่องสารเคมีจากกล่องโฟมที่ออกมาปนเปื้อนกับอาหารมากกว่าการเอาใจจดจ่ออยู่กับว่าเมื่อไหร่จะได้อาหารที่สั่งเสียที

กล่องโฟมที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีมีชื่อภาษาอังกฤษว่าโพลีสไตรีน ทำมาจากสารตั้งต้นที่ชื่อสไตรีน เป็นสารที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ในสัตว์ทดลองโดยการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอและโครโมโซม แต่ในคนยังไม่มีผลการศึกษาอย่างชัดเจน 

ดังนั้น องค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติจึงจัดเจ้าสารสไตรีนเป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่ม 2B คือมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสารก่อมะเร็งในคนและมีคุณสมบัติละลายได้ดีในน้ำมันและแอลกอฮอล์ ดังนั้น หากนำจานชามโฟมใส่อาหารที่มีไขมันสูงหรือใช้ถ้วยโฟมเป็นภาชนะสำหรับดื่มเหล้าดื่มเบียร์ ก็ยิ่งทำให้สารสไตรีนละลายออกมาเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นยังสามารถละลายได้ดีขึ้นที่อุณหภูมิสูง จากการที่เจ้าสารสไตรีนสามารถละลายในไขมัน เมื่อมีการสะสมของสารนี้ทีละน้อยเป็นเวลานานๆ จึงมักจะไปสะสมในเนื้อเยื่อที่มีไขมันสูง เช่น สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย วิตกกังวล นอนไม่หลับ และอาการอื่นๆ ทางระบบประสาท นอกจากนั้นยังมีอันตรายต่อระบบโลหิตคือทำให้เกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดต่ำลง

ปัจจุบันทั่วโลกมีการตื่นตัวและมีการรณรงค์งดใช้สิ่งของที่ทำจากโฟมรวมไปถึงการไม่ใช้โฟมเพื่อป้องกันของแตกหักในการขนส่ง  ในหลายรัฐของสหรัฐอเมริกามีการห้ามใช้โฟมในการขนส่งสินค้า ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่าง McDonald ก็เลิกใช้กล่องโฟมในการบรรจุอาหารแล้วโดยหันไปใช้กระดาษแทน บ้านเราล่ะครับเมื่อไหร่จะเอาจริงเอาจังกันเสียที ก็ได้แต่วิงวอนบรรดาพ่อค้าแม่ค้าอาหารที่เคารพครับ หากจะใช้กล่องโฟมใส่อาหารร้อนๆ มันๆ ให้ลูกค้า ขอความกรุณาช่วยรองด้านในกล่องทั้งบนล่างด้วยพลาสติกเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อาหารร้อนๆ มันๆ นั้นสัมผัสกับกล่องโฟมโดยตรง ถ้าจะให้ดีมีกลิ่นหอมแบบธรรมชาติเพิ่มขึ้น เอาใบตองมารองแทนพลาสติกทั้งบนทั้งล่างยิ่งดีใหญ่ เผลอๆ อาจขายดีขึ้นแบบไม่รู้ตัว  เห็นมีหลายร้านที่ใส่ใจห่วงใยผู้บริโภคหันกลับมาห่อด้วยกระดาษรองใบตองแบบสมัยก่อน นอกจากจะกลิ่นหอมน่าทานแล้ว ยังช่วยประหยัดค่ากล่องโฟมไปได้อีกเยอะ

เอาเป็นว่ามื้อต่อไป ใส่ใจกับเรื่องภาชนะใส่อาหารมากกว่าเดิมหน่อยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาไปกินอาหารในงานออกร้าน เห็นร้านไหนๆ ก็ใช้แต่กล่องโฟม จานโฟม ชามโฟมเหมือนกันหมด เพราะสะดวกดีไม่ต้องมาเสียเวลาล้างจานชามให้เมื่อยให้เปลืองค่าแรงคนงาน แต่คนบริโภคแย่ โลกก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะนอกจากตัวกล่องโฟมเองจะย่อยสลายยากแล้ว กระบวนการผลิตกล่องโฟมยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะโลกร้อนไม่ต่างจากพลาสติกสักเท่าไหร่ หันมาใช้วัสดุจากธรรมชาติหรือใช้กล่องบรรจุอาหารที่ทำจากชานอ้อยให้มากขึ้น ถึงเวลาที่ต้องมาช่วยกันรณรงค์ลดโลกร้อนด้วยการลดการใช้กล่องโฟมกันเสียทีก็ดีนะครับ แค่นี้ธรรมชาติก็ลงโทษมนุษย์ซะอ่วมแล้ว ช่วยกันทะนุถนอมรักษาโลกใบนี้ไว้ให้ลูกหลานเถอะครับ...สาธุ

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

ผู้หญิง ดื่ม แอลกอฮอล์ เสี่ยงสารพัดโรค


………ในอดีตผู้หญิงกับ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ดูจะไม่ เหมาะกันเอาซะเลย แต่ปัจจุบันผู้หญิงเปลี่ยนไปเยอะ เริ่มหันมามีสังคมกับเพื่อนฝูงมากขึ้น พูดถึงเวลาสังสรรค์ เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น เหล้า เบียร์ ไวน์ หรือค็อกเทล มักเป็นแก้วที่คุณผู้หญิงส่วนใหญ่เลือกดื่มกัน
……… แอลกอฮอล์ เป็นส่วนผสมของคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน ซึ่งเกิดจากการหมักน้ำตาลกับยีสต์ เครื่องดื่มจำพวกไวน์จะได้จากการหมักผลไม้ ส่วนเบียร์หรือเหล้าได้จากการหมักธัญพืช แม้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงแรก จะทำให้รู้สึกสนุกสนานครื้นเครง แต่เมื่อดื่มมากขึ้นจะพบว่าแอลกอฮอล์ จะทำให้รู้สึกเศร้าได้เช่นกัน อีกทั้งยังกระทบถึงการทรงตัว อำนาจการตัดสินใจ รวมไปถึงการยับยั้งชั่งใจด้วย
………แล้วรู้ไหมคะว่า ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ จะได้รับผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีมวลร่างกายที่เล็กกว่าและมีไขมันมากกว่า ซึ่งไขมันไม่สามารถดูดซับแอลกอฮอล์ได้ ทำให้แอลกอฮอล์ตกค้างในร่างกายเป็นระยะเวลานาน และจะส่งผลต่อสุขภาพมากมาย อาทิเช่น
 โรคตับ หากดื่มแอลกอฮอล์เพียง 40-60 กรัมต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลานาน 5-10 ปี ก็เสี่ยงต่อโรคตับแข็งและโรคมะเร็งตับ
 โลหิตจาง แอลกอฮอล์ส่งผลให้ร่างกาย สร้างเม็ดเลือดแดงน้อยลง ในขณะที่ผู้หญิงต้องเสียเลือดจากการเป็นประจำเดือนทุกเดือน ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคโลหิตจางมากขึ้น
 มะเร็งเต้านม มะเร็งเต้านมนั้นมีโอกาสเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว แอลกอฮอล์ถือเป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น
 กระดูกพรุน แอลกอฮอล์จะลดประสิทธิภาพการดูดซึมแคลเซียมและสารอาหารในร่างกาย ขณะเดียวกันเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะให้พลังงาน คุณจึงไม่รู้สึกหิวและกินน้อยลง หรือบางครั้งก็อาเจียนอาหารที่กินออกมาเวลาที่เมาจัด ทำให้อาจขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการสะสมมวลกระดูกอย่างไป อีกประการหนึ่งคือ มวลกระดูกของผู้หญิงมีขนาดเล็กกว่าผู้ชายตามโครงสร้างทางสรีรวิทยา ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้สูงกว่าด้วย
 ระบบสืบพันธ์ การที่ผู้หญิงดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ จะทำให้ระยะเวลาการตกไข่และประจำเดือนผิดปกติ ทำให้มีบุตรยาก หากดื่มในขณะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะช่วงหกเดือนแรกจะกระทบต่อการสร้างรูปร่างหน้าตาและระบบประสาทของ เด็ก เด็กอาจพิการ หน้าแบน ปากแหว่ง และเป็นปัญญาอ่อนได้ สตรีมีครรภ์จึงควรงดแอลกอฮอล์เด็ดขาด
 ผิวพรรณ ผู้ที่ดื่มจัดจะทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี ส่งผลให้ผิวซีด เหี่ยว แห้ง หย่อนยาน เปลือกตาบวม เป็นสิว และเป็นไฝแดง อาจมีอาการของโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งมักเป็นผื่นนูนแดงมีสะเก็ดสีเงินปกคลุม
ที่มาจาก BKKMENU.com

อาหารง่ายๆ ของคนอยากผอม


ถึงจะอยากผอมแค่ไหน ก็ไม่จำเป็นต้องอดอยากปากแห้ง แค่คบอาหารพวกนี้เป็นเพื่อน คุณก็มีสิทธิ์ผอมเท่าคนอื่นเขาเหมือนกัน
1. เหลือที่ว่างสำหรับขนม
รักชอบขนมอะไรไม่ต้องไปอด แต่ต้องตัดข้าวออกสักครึ่งจานเพื่อเผื่อท้องไว้กินขนม อย่างกแบบว่าข้าวก็จะกิน ขนมก็จะเอา
2. อาหารที่ฉ่ำน้ำ
แตงโม มะเขือเทศ แตงกวา เห็ดส้มโอ แคนตาลูป มีติดตู้เย็นไว้อย่าได้ขาด หรือถ้าชอบก๋วยเตี๋ยวก็ต้องกินก๋วยเตี๋ยวน้ำแล้วซดน้ำแกงมากๆ ส่วนมื้อไหนทานข้าว นักไดเอทควรมีแกงจืดวางประจำเป็นผู้ช่วยทุกมื้อ น้ำจะช่วยให้คุณอิ่มเร็ว แถมอิ่มแล้วยังหนักท้อง ไม่หิวบ่อยๆ ด้วย
3. โปรตีนน้อยย่อยง่าย
สุดยอดอาหารโปรตีนที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ต้องยกให้ปลาทุกชนิด นอกจากนี้ก็ยังมี อกไก่ ไข่ขาว ปู กุ้ง เต้าหู้ นมไขมันต่ำ และถั่ว เห็นมั้ย ไม่ต้องอดคุณก็ยังผอมได้
4. อาหารที่กระตุ้นการทำงาน
ของแบบนี้หากินได้ไม่ยาก เพราะมันก็คือถั่วนั่นเอง จะถั่วลันเตา ถั่วลิสง ถั่วปากอ้าได้ทั้งนั้น ยกเว้นถั่วที่เรียกว่ามะม่วงหิมพานต์ เพราะอาจจะมีไขมันสูงปรี๊ดเกินต้องการไปหน่อย
5. หมากฝรั่งลดความอยาก
มีการวิจัยออกมาว่า แค่เคี้ยวหมากฝรั่งอย่างเดียวเราก็อิ่มได้ เพราะบางทีสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นความหิวอาจจะเป็นแค่อาการโหย อยากมีอะไรเคี้ยวแก้ปากว่างเท่านั้นเอง
6. เครื่องดื่มร้อนๆ
ความร้อนจะกระตุ้นระบบเผาผลาญอาหารให้ทำงานดีขึ้น คนที่ดื่มชาร้อนๆ ตบท้ายมื้ออาหารจึงมักจะผอมกว่าคนที่ตบท้ายด้วยน้ำเย็น
7. อาหารรสจัด
สาร แคปไซซินในพริกคือยากระตุ้นระบบเผาผลาญที่ยอดที่สุด คนที่กินพริกหรืออาหารที่ใส่เครื่องเทศรสจัด จะมีโอกาสผอมเพิ่มขึ้นอีก 20 % โดยไม่ต้องไปวิ่งออกกำลังกายให้เสียเวลา แถมเวลากินของเผ็ดเราก็ต้องดื่มน้ำมากๆ เท่ากับจำกัดตัวเองให้กินน้อยลงไปโดยปริยาย
8. ข้าวโอ๊ตแบบซอง
ข้าวโอ๊ตแบบนี้มีขายตามซูเปอร์ทั่วไป ฉะนั้นห้ามบ่นเป็นอันขาดว่าหาซื้อไม่ได้ เวลาหิวๆ แทนที่จะลุกไปทักทายป้าร้ายขายข้าวแกง แค่คุณชงข้าวโอ๊ตนี่กิน คุณจะอิ่มได้ทันที เพราะข้าวโอ๊ตเป็นอาหารไฟเบอร์สูงเลยหนักท้อง ซองเดียวก็อยู่ได้หลายชั่วโมง แถมแคลอรี่ก็ต่ำ ดีอย่างนี้เอาตำแหน่งคู่ใจนักไดเอทไปเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก spicy

ล้างพิษ ด้วย ชาเขียว


ชาเขียว
………ชาเขียว เครื่องดื่มยอดฮิตที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยา บำบัดมายาวนานนับพันๆ ปี เพราะนอกจากชาเขียวจะเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพกายแล้ว ยังส่งผลดีต่อสุขภาพใจอีกด้วย และคุณสมบัติที่โดดเด่นของชาเขียวอีกอย่างหนึ่งก็คือ การช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลล์ ด้วยสาร Polyphenols ในชาเขียวสามารถออกฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์ที่ทำหน้าที่ขจัดสารพิษในตับ (Detoxifying Enzyme) ช่วยยับยั้งขบวนการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง และพัฒนาการทำงานองแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้
………นอกจากนี้ชาเขียวยังสามารถขจัดอนุมูลอิสระช่วยให้หลอดเลือดและหัวใจทำงานดีขึ้น ผิวพรรณสดใสและสนับสนุนการทำงานของเอ็นไซม์ในตับซึ่งเป็นเหมือนโรงงานขจัด สารพิษจากอาหารแห่งเดียวของร่างกาย จึงนับว่าการบริโภคชาเขียวเป็นการล้างพิษทางกายภาพที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ที่สุดค่ะ
ผลที่ได้รับจากการล้างพิษด้วยชาเขียว
 ระบบขับถ่ายของเราจะค่อยๆ ดีขึ้นปัญหาท้องผูกและอาการร้อนในลดลง
 
โอกาสเกิดโรคมะเร็งในทางเดินอาหารลดน้อยลงกว่าผู้ที่ไม่ได้บริโภคชาเขียว
 
ผิวพรรณจะค่อยๆ สดใส ไม่หมองคล้ำ ระบบประสาททำงานได้ดีขึ้น
 
ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคความจำเสื่อม
 
ตับมีสุขภาพดี
 
ที่สำคัญที่สุดยังห่างไกลจากโรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ ได้อีกด้วย
ที่มาจาก BKKMENU.com

สูตรหน้าใส มาร์ค/พอกหน้า

วิธีการมาสก์หน้า 
ควรทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดด้วยคลีนเซอร์ที่เหมาะกับผิ ว ก่อนที่จะพอกหน้าให้ทั่วใบหน้า โดยเว้นรอบ 
ดวงตาและริมฝีปาก แล้วทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ( ถ้าจะให้ผลดีอาจใช้ผ้าขนหนูชุบอุ่น ๆ นำมาวางบนหน้า ความร้อน 
จากผ้าขนหนูจะช่วยให้ส่วนผสมในมาสก์ซึมซับสู่ผิวได้ดียิ่งขึ้น ) แล้วใช้สำลีชุบน้ำอุ่นเช็ดทำความสะอาด จากนั้น 
จึงล้างหน้าด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง ซึ่งจะช่วยกระชับรูขุมขนและทำให้ผิวสดชื่น เช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม ๆ และตามด้วย 
ครีมบำรุงผิวค่ะ คราวนี้ผิวคุณก็นุ่มละมุนสดชื่น และสดใส ...ชัวร์ 

มาร์คพอกหน้าสูตรใบเตย 
นำใบเตย4-5 ใบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปปั่นรวมกับไข่ไก่ 2ช้อนโต๊ะจะได้มาร์คพอกหน้าเป็นครีมข้นๆ หอมกลิ่นใบเตย พอกหน้าไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างหน้าตามปกติ 

ถนอมผิวหน้าด้วยโยเกิร์ต 
ล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใสอมชมพูทีเดียวค่ะ 

ครีมพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันและผิวผสม 
ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุมชื่น 


ลบรอยกระด่างดำบนใบหน้าด้วยมะละกอสุก 
นำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออก จะช่วยให้ ใบหน้าที่มีรอยด่างดำดูดีขึ้น 

สูตรรักษาฝ้า 
คั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุก จึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้า วันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้น 

สูตรสาวหน้าใส 
ส่วนผสม น้ำผึ้ง น้ำมะนาว ผสมน้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิว เหมือนครีมที่มีส่วนผสมAHA นั่นแหละ ส่วนน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น นวดประมาณ 15 นาที 

สูตรลดริ้วรอย 
เลือกใช้ผลไม้ที่หาง่าย จะเป็นแอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศก็ได้ค่ะ ใช้ปริมาณ 1 ถ้วย นำมาปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก นำไปปั่นให้เนื้อละเอียด นำเนื้อผลไม้ที่เตรียมไว้ มาพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง จะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม เกลี้ยงเกลา แลดูสดใส 

สูตรกระชับรูขุมขน 
กล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) ปอกเปลือก เอาเมล็ดออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมนมเปรี้ยวหรือน้ำผึ้งลงไป นำไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยทำความสะอาดใบหน้า และช่วยกระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น 

เคลนเซอร์สำหรับทุกสภาพผิว 
โยเกิร์ต 1/2 ถ้วยน้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะน้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ นะคะ)นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย 

ผิวเรียบเนียนด้วยกาแฟบด 
ก็บรรดา ครีมขจัดเซลลูไลต์ ที่ราคาแสนแพงน่ะ มีคาเฟอีนอยู่ด้วย ซึ่งช่วยกระตุ้นการขจัดเซลล์ไขมันและยังขัดผิวให้เรียบเนียน แต่อาจจะดูยุ่งยากกว่าการใช้ครีมกระปุกอยู่บ้าง จึงควรทำในห้องน้ำ และก่อนที่จะลงมือขัดผิวด้วยกาแฟอย่าลืมปูพื้นห้องน้ำด้วยกระดา ษหนังสือพิมพ์ เพื่อป้องกันท่อน้ำตันค่ะสูตรนี้ใช้กับผิวกายนะคะ ห้ามใช้กับผิวหน้าค่ะและในระหว่างที่ขัดผิว หากมีนวดไปด้วย จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้นได้ค่ะ 

พอกหน้าด้วยน้ำผึ้ง (จากสเปน) 
ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้งแล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบา ๆสักครู่แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาสักประมาณ 5 นาทีจนน้ำผึ้งเหนียว นวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ นอนพักให้ศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น พักสักครู่แล้วค่อยๆใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออก 

นำไข่ขาวมาตีให้ขึ้น แล้วเติมน้ำมะนาว และน้ำผึ้ง อย่างละ 
1 ช้อนชา นำมาชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้มือนวดเป็นวงกลมไปพร้อม ๆ กัน ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงใช้ผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำเช็ดออก จะช่วยทำความสะอาดผิว และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นในขณะเดียวกัน 

นอกจากนำมาทาหรือพอกหน้า เพื่อให้ผิวสดใส เปล่งปลั่ง 
กันแล้ว ในวันหยุด ลองดื่ม ชาผสมน้ำผี้ง จะช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ทำให้ผิวสดใส มีเลือดฝาด แต่ไม่ควรเทน้ำเดือดจัดๆ ลงในน้ำผึ้งนะคะ เพราะอาจทำให้สารที่มีประโยชน์ในน้ำผึ้ง สลายตัวได้ค่ะ 

พอกหน้าด้วยแอ๊ปเปิ้ล (จากเบลเยี่ยม) 
ปอกแอ๊ปเปิ้ล คว้านเอาไส้และเมล็ดออก แล้วบดให้ละเอียดขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจน 
เข้ากันดีแล้ว นำเอาส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็นๆล้างออก 

พอกหน้าด้วยแตงโม (จากตุรกี) 
ฝานแตงโมเป็นชิ้นบางๆจากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้า แล้วใช้ผ้าขาวบางคลุมหน้าไว้ นอนพักสักครู่ ประมาณ ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 

พอกหน้าด้วยไข่ขาว (จากสวิตเซอร์แลนด์) 
ต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออก เทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงนุ่มๆจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จนไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็ง แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น 

พอกหน้าด้วยน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง (จากฝรั่งเศส) 
ผสมน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน แล้วนำมาทาให้ทั่วทั้งใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้อย่างน้อย ครึ่งชั่วโมง หรือมากกว่า แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น 

พอกหน้าด้วยมะเขือเทศ (จากญี่ปุ่น) 
ฝานมะเขือเทศ 1 ชิ้นหนาๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบาๆตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรดAHA จะช่วยลอกผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกได ้หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออก 

พอกหน้าด้วยนมเปรี้ยว (จากรัสเซีย) 
สำหรับผู้ที่มีผิวหน้ามัน ให้ล้างหน้าให้สะอาดก่อนจะเอานมเปรี้ยวที่แช่เย็นจัดพอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาทีหรือนานกว่านั้นแล้วใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆเช็ดออก ตำรับนี้จะใช้ได้ผลดีมากในหน้าร้อน จะช่วยให้ใบหน้าที่ซีดเซียวกลับเปล่งปลั่งขึ้นได้ 

การเลือกมาสก์พอกหน้าให้เหมาะกับผิวมัน คุณสามารถใช้มาสก์ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง มาสก์ที่เหมาะ 
กับคนผิวมัน ควรมีคุณสมบัติช่วยดูดซับความมัน สามารถขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขนได้ พร้อมกับช่วยกระชับรูขุมขน 

ผิวแห้ง ควรมาสก์หน้าสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ มาสก์ที่เหมาะกับคนผิวแห้ง ควรมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว 

มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย 
นำกล้วยบด 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อน ยีให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่ว ใบหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น 
จะทำให้ผิวหน้า ชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้งค่ะ 

เคลนเซอร์น้ำผึ้ง 
ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโตีะ กับจมูกข้าวสาลี 2 ช้อนชา คนให้เข้ากัน นำมาทาให้ทั่วใบหน้า ใช้ปลายนิ้วขัดเบา ๆ เพื่อกระตุ้น 
การไหลเวียนของเลือด และขจัดเซลล์เก่าให้หลุดลอกออกมา ซึ่งน้ำผึ้งจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น และยังช่วยลดริ้วรอย 
และจุดด่างดำ 

เคลนเซอร์จากโยเกิร์ต 
ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ กับเกลือป่น 2 ช้อนชา นำมาขัดเบา ๆ บริเวณผิวหน้า จะช่วยลดความมันและขจัดเซลล์เก่าให้ 
หลุดลอกออกมา สูตรนี้เหมาะสำหรับผิวผสมและผิวมัน 

มาสค์พอกหน้าจากมะละกอ 
นำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง 

มาร์คพอกหน้าจากกล้วยผสมน้ำมันมะกอก 
กล้วยสุกยีให้ละเอียด เติมน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เพื่อให้เนื้อครีมข้น นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้ว 
ล้างออก จะช่วยบำรุงผิวหน้าให้ชุ่มชื้นขึ้น เหมาะกับผิวแห้ง 

มาร์คพอกหน้าสูตรไข่ผสมข้าวโอ๊ต 
ไข่ขาว 1 ฟอง ผสมกับ ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนชา คลุกเคล้าให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วผิวหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที สูตรนี้เหมาะกับ 
ผิวมันค่ะ เพราะจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากใบหน้า และช่วยปรัปผิวให้สมดุลมากขึ้น 

มาร์คพอกหน้าจากแตงกวา (เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม) 
ให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอก ให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 
ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า 
กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุ่มชื่น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม